กรมทรัพย์สินทางปัญญาเข้มบริษัทยาเต้นเกณฑ์สิทธิบัตร
บริษัทยาข้ามชาติเต้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาออกกฎขจัดคำขอสิทธิบัตรแบบเอเวอร์กรีน
บริษัทยาข้ามชาติเต้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาออกกฎขจัดคำขอสิทธิบัตรแบบเอเวอร์กรีน
แหล่งข่าวจากบริษัทยาข้ามชาติในประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ปรึกษาทางกฎหมายบริษัทยาข้ามชาติหลายแห่งได้แจกจ่ายเอกสารไปยังลูกค้าทุกรายถึงสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติของสำนักสิทธิบัตร กรมทรัพย์สินทางปัญญาที่จะกระทบต่อบริษัทยา
ทั้งนี้ เนื้อหาระบุว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยได้เปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติ 2 เรื่องใหญ่ คือ การเปลี่ยนแนวตีความข้อถือสิทธิการใช้แบบสวิส คือ ข้อถือสิทธิที่ระบุว่าการใช้สารประกอบในการผลิต สมควรจะถูกจัดเป็นการขอรับคำขอเกี่ยวกับกรรมวิธีทางอายุรกรรมหรือกรรมวิธีการวินิจฉัยโรค ซึ่งเป็นข้อต้องห้ามได้รับสิทธิบัตรตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรของไทย มาตรา 9 (4)
สำหรับแนวปฏิบัติที่ 2 กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศลงวันที่ 30 ธ.ค. 2553 กำหนดให้คำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ด้านเคมี (ทางยา) จะต้องมีการระบุคำทับศัพท์ภาษาไทยพร้อมกับวงเล็บภาษาอังกฤษกำกับชื่อสารประกอบ ส่วนประกอบหรือสารออกฤทธิ์ทางยาควบคู่ไปด้วย ซึ่งทางบริษัท ติลลิกีฯ อ้างว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้การพิจารณาคำขอสิทธิบัตรที่ล่าช้าอยู่แล้ว ต้องเนิ่นช้าออกไป
ด้าน น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ทีมวิจัยสิทธิบัตรยาที่จัดเป็น Evergreening Patent ในประเทศไทย และการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น กล่าวว่า ต้องชื่นชมกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ออกแนวปฏิบัติดังกล่าว เพราะจะทำให้มาตรฐานสิทธิบัตรของไทยมีคุณภาพขึ้นและระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรของไทยดีขึ้น
น.ส.กรรณิการ์ กล่าวว่า ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จะยิ่งทำให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบ จากเดิมที่อาศัยการตีความตามดุลยพินิจ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาร้องค้านหลายครั้ง เช่น กรณียารักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี
ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัท ติลลิกีฯ ที่ว่าจะทำให้การออกสิทธิบัตรล่าช้านั้นไม่เป็นความจริงและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่อาจทำให้ขั้นตอนกระชับขึ้น อีกทั้งการระบุให้ต้องระบุคำทับศัพท์นั้นก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรของไทย หากฐานข้อมูลสิทธิบัตรมีประสิทธิภาพก็จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและผู้ผลิตยาทุกรายโดยเท่าเทียมกัน


