posttoday

ดร.ชัชนันท์ ลีระเติมพงษ์ ปรับตัวเพื่อสิ่งแวดล้อม

27 มกราคม 2555

ผมคิดว่าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติในระดับที่มีความรุนแรงอย่างมากแล้ว เราเอาแต่หวังพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป

ผมคิดว่าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติในระดับที่มีความรุนแรงอย่างมากแล้ว เราเอาแต่หวังพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป

โดย...โยธิน อยู่จงดี

“ผมคิดว่าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติในระดับที่มีความรุนแรงอย่างมากแล้ว เราเอาแต่หวังพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป เราจะอยู่กันอย่างไรในสถานการณ์ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีโทรศัพท์ในขณะที่พื้นที่ประสบภัยถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จึงถึงเวลาแล้วที่เราควรจะกลับไปเรียนรู้เพื่อปรับตัวอยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้น” พ.ต.ท.ดร.ชัชนันท์ ลีระเติมพงษ์ นักวิชาการและอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แสดงความเห็นเรื่องสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น

หลังจากนำนักเรียนนายร้อยออกให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมในชุมชุนวัดอ่วมอ่อง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ซึ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอกและไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปให้ความช่วยเหลือในช่วงน้ำท่วม และเขาได้กลับเข้าไปจัดกิจกรรมวันเด็กให้กับเด็กๆ ในชุมชนอีกครั้งหลังน้ำลด

ปัจจุบัน ดร.ชัชนันท์ เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม เพราะอยากจะมีส่วนร่วมในการผลิต “ตำรวจที่ดีออกสู่สังคม” อีกทั้งยังเดินหน้าโครงการสร้างคนดีเข้าสู่สังคม เพื่อหวังจะให้ตำรวจรุ่นใหม่เป็นคนที่ดีสามารถทำงานรับใช้ประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นผู้นำนักเรียนนายร้อยตำรวจจิตอาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนในเหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งที่ผ่านมาอีกด้วย

ดร.ชัชนันท์ ลีระเติมพงษ์ ปรับตัวเพื่อสิ่งแวดล้อม

ในชีวิตประจำวันเขาจะวางแผนการเดินทางเพื่อช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางและค่าน้ำมัน อีกทั้งยังเป็นคนที่ใช้ของอย่างคุ้มค่า ไม่เปลี่ยนไปตามกระแสนิยมหรือเห่อของใหม่ จนกว่าจะเสียหรืออุปกรณ์ไม่รองรับการใช้งานที่จำเป็นแล้วถึงจะเปลี่ยนไปซื้อรุ่นใหม่ และยังมีความคิดที่จะขี่จักรยานไปทำงานแทนการขับรถซึ่งเปลืองน้ำมัน เพราะการขี่จักรยานนั้นเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ หากว่าระยะทางจากบ้านไปที่ทำงานไม่เกิน 10 กม. จะใช้เวลาขี่จักรยานเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลารอรถเมล์หรือใช้เวลาไปกับรถติดบนท้องถนน และเรายังควบคุมเวลาในการเดินทางได้ดีกว่า

ออกแต่เช้าหน่อยเพื่อที่จะถึงที่ทำงานให้ทันเวลา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วก็เข้าทำงานตามปกติ แต่ทุกวันนี้คนไม่นิยมขี่จักรยานกันก็เพราะว่าต้องดมควันรถ รวมทั้งห่วงความปลอดภัยบนท้องถนน แต่เชื่อว่าถ้าเราปรับให้เป็นวัฒนธรรมในการขับขี่จักรยานอีกหน่อยปัญหารถติดจะลดลงไปได้อย่างมาก

นอกจากนี้ ดร.ชัชนันท์ ยังแนะนำการปรับตัวให้เข้าหาธรรมชาติว่าที่ผ่านมาเราเอาแต่หวังพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป เราทิ้งวิถีชีวิตของชนลุ่มน้ำภาคกลางเราอยู่กับลุ่มน้ำมาตลอดเป็นร้อยๆ ปี ซึ่งเคยปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ในช่วงน้ำท่วมจนหมดไป บรรพบุรุษของเราสมัยก่อนเลือกที่ปลูกบ้านยกพื้น 2 ชั้น เพื่อรับมือช่วงน้ำท่วมเลือกปลูกพืชที่ทนน้ำท่วม เช่นกล้วยหรือมะพร้าวที่โตง่าย น้ำมาก็หาปลากิน ตัดกล้วยตัดมะพร้าวอยู่กันไปได้ทั้งปีโดยไม่รู้สึกเดือดร้อน

สามารถพายเรือไปมาหาสู่กันเป็นเรื่องปกติ แต่พอมีสังคมเมืองเข้ามา ความเจริญมากขึ้นรูปแบบการทำงานการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยน เราเริ่มพึ่งพาธรรมชาติน้อยลง หันไปพึ่งเทคโนโลยีมากขึ้น เวลาผ่านไปนานเข้าเราก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีเทคโนโลยี เมืองมีการขยายตัวตัดถนนเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และวางผังเมืองของเราขวางทางน้ำไหลตามธรรมชาติก็คือลุ่มน้ำนั่นเอง นักวิชาการเสนอแนวคิดเจาะถนนให้เป็นทางน้ำไหลผ่านก็สายเกินไปเสียแล้ว

ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเราควรจะหันมาเรียนรู้เพื่อที่จะพึ่งพาตัวเองในการเอาตัวรอดและปรับตัวในสถานการณ์ต่างๆ เพราะสุดท้ายเราก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่ดีเพราะไปที่ไหนก็เจอแต่ภัยธรรมชาติ แต่ถ้าเรารู้จักการปรับตัวเราอยู่ที่ไหนก็ได้

&<2288;

 

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2