posttoday

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์

22 มกราคม 2555

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์

โดย..วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาตลับ ประสูติเมื่อวันพุธ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีจอ จุลศักราช 1236 ตรงกับวันที่ 21 ต.ค. 2417 ต่อมาได้รับพระราชทานนามจากพระราชบิดาว่า “รพีพัฒนศักดิ์” เมื่อทรงพระเยาว์พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงได้รับการอภิบาลจากเจ้าจอมมารดาตลับ หม่อมราชวงศ์หญิงวงศ์ พึ่งบุญ และพระยาเวียงในนฤบาล (หรั่ง เกตุทัต)

เมื่อเจริญวัยขึ้น พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเข้าศึกษาวิชาภาษาไทยเบื้องต้นกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) โดยใช้เก๋งกรงนกภายในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ทรงพระอักษร เมื่อทรงศึกษาวิชาภาษาไทยจบแล้ว ก็ทรงเข้าศึกษาต่อที่สำนักของบาบู รามซามี โดยใช้โรงเรียนทหารมหาดเล็กเป็นที่ถวายพระอักษร จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2426 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าศึกษาในโรงเรียนสวนกุหลาบ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดให้ตั้งพระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 3 พระองค์พร้อมกัน คือ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช และพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นการสมโภช 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 2325 ธ.ค. 2427 แล้วจึงประกอบพระราชพิธีโสกันต์ในวันที่ 26 ธ.ค. 2427 โดยโปรดให้ทรงเครื่องต้นทั้ง 3 พระองค์

หลังจากพระราชพิธีโสกันต์ผ่านพ้นไปแล้ว พระเจ้าลูกยาเธอที่จะเสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ จึงได้ทรงผนวชพร้อมกันตามโบราณราชประเพณี โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และในวันที่ทรงผนวชก็ได้ทรงจำวัด ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นเวลาหนึ่งคืน

ในการส่งพระราชโอรสไปทรงศึกษายังต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เป็นพระราชโอรสกลุ่มแรกที่เสด็จไปทรงศึกษาต่อในทวีปยุโรป เมื่อปี พ.ศ. 2428 โดยมีขุนวิจิตรวรสาส์น (ปั้น สุขุม) เป็นพระอภิบาล

เมื่อพระราชโอรสเสด็จถึงประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้ทรงแยกกันเรียน โดยพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปทรงศึกษาที่เมืองเอดินบะระ ในสกอตแลนด์ โดยให้หมอเกาวันเป็นผู้จัดการศึกษา ในการนี้เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น จึงมีเพียงครูชาวต่างชาติมาถวายพระอักษรที่ตำหนักครึ่งวัน และหม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ ถวายการสอนภาษาไทยอีกครึ่งวัน

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงศึกษาวิชาภาษาละติน วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาภาษาฝรั่งเศส อยู่ 2 ปี จึงเสด็จนิวัตประเทศไทย จนถึงปี พ.ศ. 2431 จึงเสด็จไปทรงศึกษาต่อในชั้นมัธยมอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และต่อมาปี พ.ศ. 2434 ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายต่อที่วิทยาลัยไครส์เชิร์ช ในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2337 ทรงสอบไล่ได้ตามหลักสูตรชั้นปริญญาเกียรตินิยม จากนั้นจึงเสด็จกลับประเทศไทย ด้วยพระอัจฉริยภาพที่มีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงได้รับพระสมญาว่า เฉลียวฉลาดรพี

หลังพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เสด็จกลับจากทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสู่ขอพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงอรพัทธ์ประไพ พระธิดาองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ พระราชทานเสกสมรสให้ โดยในครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่มีการพระราชทานน้ำสังข์ แต่ทรงมีชีวิตร่วมกันเพียงไม่นานก็ทรงหย่าขาดจากกัน หลังจากนั้นพระองค์จึงทรงรับหม่อมอ่อนเป็นชายา

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์มีพระโอรสธิดา ที่ประสูติกับหม่อมอ่อน หม่อมแดง และหม่อมราชวงศ์สอางค์ ปราโมช ทั้งสิ้น 13 พระองค์ ทุกพระองค์ทรงตั้งชื่อคล้องจองกันหมด และมีความหมายเกี่ยวกับพระอาทิตย์เช่นเดียวกัน โดยหม่อมอ่อนมีพระโอรสธิดา 11 พระองค์ หม่อมแดงมีพระธิดา 1 พระองค์ และหม่อมราชวงศ์สอางค์ ปราโมช มีพระธิดา 1 พระองค์

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเริ่มรับราชการในสำนักราชเลขาธิการ และทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรี ทรงประกอบพระกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อวงการกฎหมายไทยและศาลสถิตยุติธรรม ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม และสภานายกในกองข้าหลวงพิเศษ จัดการปรับปรุงศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่ จัดตั้งศาลมณฑลและศาลจังหวัดทั่วประเทศ ทรงเป็นประธานกรรมการตรวจชำระกฎหมาย ประมวลขึ้นเป็นกฎหมายอาญาฉบับ ร.ศ. 127 (ปี พ.ศ. 2451) ทรงตั้งโรงเรียนกฎหมายเพื่อเปิดการสอนกฎหมาย ทรงรวบรวมและแต่งตำราคำอธิบายกฎหมายลักษณะต่างๆ มากมาย และทรงสอนวิชากฎหมายด้วยพระองค์เอง ทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกา ซึ่งเทียบได้กับศาลฎีกาในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2443 ทรงตั้งกองพิมพ์ลายมือขึ้น สำหรับตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาในคดีอาญา ตำแหน่งสุดท้ายทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ทรงปรับปรุงกิจการกรมทะเบียนที่ดิน

เมื่อพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล ซึ่งปัญหาสำคัญสำหรับศาลไทยในเวลานั้นคือเรื่องของศาลกงสุลต่างชาติที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในยุคนั้น เป็นที่รู้กันว่าชาวต่างชาติเหล่านี้มีอำนาจอิทธิพลมาก เมื่อเกิดคดีความหรือข้อโต้แย้ง ชาวไทยมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะชาวต่างชาติมักจะอ้างว่ากฎหมายยังล้าหลังไม่ทันสมัย เพื่อเป็นข้ออ้างเอาเปรียบชาวไทย ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาลของไทยยังไม่พร้อมที่จะรับข้อกฎหมายใหม่ๆ ในเวลานั้น พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้ โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็นผู้พิพากษา เป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษาวิชากฎหมายไทยและต่างประเทศ ทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ ถึงกับยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทย นอกจากนั้น ยังทรงปฏิรูปการศาลในด้านอื่นอีกมากมาย

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศักดิ์เป็น กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ในปี พ.ศ. 2442

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้กราบบังคมทูลว่าทรงประชวร เพราะมีอาการปวดพระเศียร คิดทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ต้องหยุดการทำงานพักรักษาพระองค์ โดยสาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจากโทมนัสพระทัยที่ถูกเจ้านายพระองค์หนึ่งทรงเขียนบทละครเสียดสี และกล่าวหาพระองค์อย่างไม่เป็นธรรมจนเกิดการสอบสวนคดีกันขึ้น อันที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า “คดีพญาระกา” เมื่อการสอบสวนคดีเสร็จสิ้นและมีการลงโทษผู้กระทำผิดและมีการขออภัยซึ่งกันและกันแล้ว ในปี พ.ศ. 2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์กลับรับราชการเป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตรธิการตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 4 มี.ค. 2455 และทรงดำรงตำแหน่งเพียงปีเดียวก็ได้รับพระบรมราชโองการเลื่อนขั้นเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ลงวันที่ 11 พ.ย. 2455

ในปี พ.ศ. 2462 พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงประชวรด้วยพระโรคที่ต่อมลูกหมากและมีการแทรกซ้อนต่อไปยังพระวักกะ (ไต) จึงทรงขอลาพักราชการในวันที่ 24 ก.ค. 2462 เพื่อรักษาพระองค์ แต่พระอาการยังไม่ทรงทุเลา ต่อมาจึงเสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่พระโรคที่พระวักกะก็ยังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเกินที่แพทย์จะเยียวยาได้ จนกระทั่งถึงวันที่ 7 ส.ค. 2463 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ สิ้นพระชนม์ สิริพระชันษา 45 ปี 9 เดือน 17 วัน

ในคราวนั้น เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) หวนระลึกถึงรับสั่งของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ที่ได้ตรัสไว้ก่อนที่จะเสด็จไปทรงรักษาพระองค์ที่ประเทศฝรั่งเศส ว่า

“บางทีครูจะไม่ได้เห็นฉันอีก และไม่ได้เห็นอีกจริงๆ”

พระโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ที่คนไทยรู้จักกันดี คือ หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ เจ้าของบทประพันธ์อันเลื่องชื่อ ละครแห่งชีวิต และผิวเหลืองผิวขาวฯ โอรสองค์หนึ่งของหม่อมอ่อน รพีพัฒน์ณ อยุธยา

ข่าวล่าสุด

ไทยเบฟคว้า 2 รางวัลอาหารจากเวที RED TABLE AWARDS 2025