posttoday

สมถะ กับ วิปัสสนา

28 กุมภาพันธ์ 2553

....คุณสลิล

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นอิงหลักธรรมะ ท่านสามารถส่งคำถาม หรือข้อติชม ทาง email มาได้ที่ [email protected]

สวัสดีท่านผู้อ่านที่เคารพ อาทิตย์นี้ตรงกับวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา วันนี้ MQ ขอยกเอาเรื่องความแตกต่างระหว่าง สมถ กับ วิปัสสนา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งทีเดียวในการปฏิบัติธรรม และเป็นความสงสัยของท่านผู้อ่านผู้หนึ่ง ซึ่งถามไว้นานพอควรจึงเห็นว่าเป็นวันดีที่จะได้นำมาไขข้อข้องใจ อีกทั้งเรื่องราวของวันมาฆะนั้นคงจะมีหลายท่านได้นำแสดงกันแล้วในวันนี้

ปัจจุบันมีความสับสนกันมากใน 2 เรื่องนี้ บางคนไปทำกรรมฐานที่เป็นไปทาง สมถะ หรือเรียกง่ายๆ ว่า สมาธิ แต่กลับคิดว่าตนไปทำ วิปัสสนา บางคนไปทำปฏิบัติแนววิปัสสนาแต่กลับคิดว่าไปเจริญสมถกรรมฐาน ซ้ำร้ายบางท่านไปเจริญสมาธิแบบอะไรก็ไม่รู้ตามที่อาจารย์สอน แต่ไม่อยู่ใน 40 วิธีที่เป็นไปในพระพุทธศาสนา แล้วกลับคิดว่าใช่แล้วเราไปปฏิบัติธรรม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จริงหรือ ? ?

เรื่องของการปฏิบัตินั้น ถ้าเราไม่มีปริยัติเสียก่อน ก็นับว่าเสี่ยงทีเดียว จริงหรือไม่ ลองคิดดูว่าถ้าท่านไม่เคยไปเชียงใหม่ และไม่เคยคิดศึกษาว่าเชียงใหม่อยู่ทางไหน มีลักษณะอย่างไร ต้องไปโดยวิธีใด ขึ้นรถที่ไหน เพียงมีคนดูน่าเชื่อถือมาบอก เราก็เชื่อเขา เขาพาไปถึงหนองคาย หรือสตูล ก็อาจจะยังไม่รู้ตัวเลยว่าไปผิดที่เสียแล้ว ก็เรียกว่า ถูกหลอกนั่นแหละ ถ้าเราได้ดูแผนที่เสียก่อน ศึกษาเรื่องราวและวิธีการแล้ว เวลาเดินทางไปก็จะทราบได้ว่า เราไปถึงไหนแล้ว ใกล้เชียงใหม่หรือยัง หรือว่าเริ่มผิดทางแล้วต้องกลับรถ ไปให้ถูกทาง การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน จริงอยู่บางท่านมีบุญบารมีมาแต่ปางก่อน ได้พบเจอกัลยาณมิตร คือมีครูอาจารย์ที่ดี สอนถูกทาง ท่านก็จะได้ไปเชียงใหม่จริงๆ บางท่านก็บอกทางลัดให้ด้วย คอยดูแลแก้ปัญหาด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่พบกัลยาณมิตร แต่ไปพบคนพาลในคราบของกัลยาณมิตร คนพาลพวกนี้ยังมีอยู่มากในปัจจุบัน และล้วนแยกได้ยากเพราะเมื่อดูเพียงผิวเผินก็น่าศรัทธาดี การปฏิบัติทั่วๆ ไปก็ดี ดูสำรวมน่าเลื่อมใส แต่หารู้ไม่ว่าสมถะและ/หรือวิปัสสนาที่เขาสอนนั่นผิด แต่เราจะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่ศึกษาก่อนว่า นี้คือทางที่ถูกหรือไม่ แล้วถ้าท่านเดินทางถูกแล้วการศึกษาก็ไม่มีโทษอะไร จะทำให้เกิดความปีติปราโมทย์ว่าเราทำดีแล้วหนอ ถูกต้องแล้วหนอ ถ้าศึกษาแล้วพบว่ามีข้อปฏิบัติไม่ถูกต้อง เราจะได้ระวัง ได้แก้ไข นั่นจะไม่ดีกว่าหรือ เพราะการไปจนถึงใต้สุด แล้วจะกลับไปเหนือสุดย่อมยากลำบาก ไหนจะเสียเวลา เสียปัจจัย ถ้าถูกหลอกอาจโดนปล้นไปเลยก็ได้ ก็เหมือนกับผู้ที่หลงผิดไปปฏิบัติผิดๆ บางทีเสียสติไปก็มี หรือไม่ก็หลงงมงายคิดว่าตนถูก ถูกหลอกต่างๆ นานา อีกทั้งการปฏิบัติสิ่งที่ไม่ถูกนั้นเป็นการทำอกุศลให้เจริญ ยิ่งทำยิ่งได้บาป ได้โมหะ เรียกว่า เป็นการเจริญมิจฉากรรมฐาน เป็นการเจริญความไม่รู้ คือรู้ผิดๆ ซึ่งอยู่เฉยๆ อย่าทำเสียจะดีกว่า เพราะทำแล้วไม่เป็นบุญเลย กลับจะได้บาป และเป็นการสั่งสมนิสัยให้ฝักใฝ่ในทางที่ผิดด้วย

ผู้ที่ต้องการศึกษาหาปริยัติเรื่องของการปฏิบัติ อาจทำได้โดยการศึกษาจาก คัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนาที่สรุปเรื่องการปฏิบัติจากพระไตรปิฎกไว้ครบทั้ง 3 อย่าง คือ ทั้งศีลและธุดงค์ต่างๆ (สีลนิเทศ) ทั้งสมถะ คือ สมาธิ 40 วิธีที่ถูกต้อง เลือกให้เหมาะกับจริต และมีไปจนถึงเรื่องของอภิญญา เรื่องฤทธิ์และการรู้พิเศษอีกด้วย (สมาธินิเทศ) ทั้งเรื่องวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา เรื่องของญาณขั้นต่างๆ ด้วย เรียกว่าครบถ้วนทีเดียว (ปัญญานิเทศ)

คัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้นรวมได้เป็น 1 เล่มเท่านั้นคงไม่ลำบากเกินไปถ้าเราจะอ่านเสียก่อน โดยอาจเลือกอ่านในเรื่องที่เราสนใจก็ได้ ก่อนไปปฏิบัติจะได้ไม่หลงทาง เช่น อยากไปเชียงใหม่ก็อ่านเรื่องเชียงใหม่ อยากไปลำปางก็อ่านเรื่องลำปาง อยากทำอาณาปาณสติ ก็เลือกอ่านอาณาปาณสติ อย่างนี้ก็คงไม่ยากเกินไป

วันนี้ ขออธิบายคำว่า กรรมฐาน ภาวนา สมถะ และวิปัสสนาก่อนว่ามีความหมายว่าอย่างไร

กรรมฐาน หรือ กมฺมฏฺฐาน นั้น แปลว่า เป็นที่ตั้งแห่งการกระทำ (กมฺม = การกระทำ, ฐาน = เป็นที่ตั้ง) กรรมฐานมี 2 ประเภท คือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน บางครั้งก็มักใช้คำแทนว่า ภาวนา เช่น สมถภาวนา กับ วิปัสสนาภาวนา ก็มี

ภาวนา แปลว่า ธรรมที่ควรเจริญ คือ ทำให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในสันดานของตน

สมถ หมายถึง ธรรมที่ทำให้กิเลส มีนิวรณ์ต่างๆ เป็นต้น สงบลง หรืออาจแปลว่า ธรรมที่ทำให้จิตที่ไม่สงบเนื่องจากการได้รับอารมณ์หลายๆ อย่าง สงบลงมาตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว หรือแปลว่า ธรรมที่ทำให้องค์ฌานอย่างหยาบสงบลง เป็นชั้นๆ ไปจนถึงฌานที่ละเอียดยิ่งๆ ขึ้น

วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นแจ้งเป็นพิเศษ ซึ่งหมายถึง ธรรมชาติใดย่อมเห็นแจ้งในอารมณ์ต่างๆ มีรูปอารมณ์ เป็นต้น โดยความเป็นนาม รูป ที่พิเศษนอกไปจากบัญญัติ โดยอาการเป็นอนิจจะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ หรือหมายความว่า ธรรมชาติใดย่อมเห็นแจ้งในขันธ์ 5 โดยประการต่างๆ มีอนิจจะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ สรุปย่อคือเห็นแจ้งพิเศษในอารมณ์ต่างๆ ที่มาปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยความเป็นรูป นาม กับโดยความเป็นไตรลักษณ์ เป็นอสุภะนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า สมถะ นั้นเป็นเรื่องของสมาธิ เรื่องของการข่มจิตให้สงบจากกิเลสด้วยการกระทำไว้ในอารมณ์เดียว คือ อารมณ์กรรมฐานที่ใช้เจริญสมถะประเภทนั้นๆ ผลหรือเป้าหมาย ก็คือทำให้เกิดฌาน เกิดความสงบที่แนบแน่นคือสงบติดต่อกันในขณะที่ทำสมาธิอยู่นั้น

ส่วนเรื่องของวิปัสสนานั้นไม่ได้เน้นที่ความสงบเป็นหลักใหญ่ แต่เน้นที่ปัญญา คือความรู้ในความเป็นจริงในความเป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ว่าเป็นรูป เป็นนาม ไม่ใช่สัตว์บุคคล และเห็นถึงลักษณะความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาและไม่งามของอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ เพื่อให้เกิดปัญญาที่ลึกซึ้ง ละวางการยึดมั่นถือมั่น ผลก็คือเพื่อให้เข้าถึงความเป็นผู้รู้ธรรมตามความเป็นจริง เกิดมรรคจิต ผลจิต มีนิพพานเป็นที่สุด

ดังนั้น สมถะและวิปัสสนา จึงมีความแตกต่างกันมาก แต่ด้วยเรามักใช้คำต่อเหมือนๆ กัน คือ กรรมฐานบ้าง ภาวนาบ้าง ดังนั้น หลายท่านจึงสับสนในเรื่องนี้

ข่าวล่าสุด

เวทีไทย–จีนเปิดเกมลงทุนใหม่ ดัน Industrial Park เชื่อมซัพพลายเชนโลก