วุฒิฯเปิดสภาถก"ภักดี"ขาดคุณสมบัติ
วุฒิสภาเปิดคดีสอย "ภักดี ป.ป.ช." อนุดิษฐ์ ซัด ผิด 3 ข้อหาร้ายแรงต้องพ้นจากตำแหน่ง ที่ประชุมนัดถกพยานเพิ่ม 20 ม.ค.ก่อนหาวันลงมติ
วุฒิสภาเปิดคดีสอย "ภักดี ป.ป.ช." อนุดิษฐ์ ซัด ผิด 3 ข้อหาร้ายแรงต้องพ้นจากตำแหน่ง ที่ประชุมนัดถกพยานเพิ่ม 20 ม.ค.ก่อนหาวันลงมติ
การประชุมวุฒิสภาวันนี้ (9ม.ค.) ได้พิจารณาวาระเรื่องด่วน กรณี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ สส.กทม.พรรคเพื่อไทยและคณะ129คน ยื่นคำร้องให้วุฒิสภามีมติให้ นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 248 ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายภักดีได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของบริษัท ไทยวัฒนาฟาร์มาซูติคัล เด็กซ์โทรส จำกัด อันทำให้ถือได้ว่าขาดคุณสมบัติที่จะเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ปปช.)มาตรา 11 (3) ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งใดๆ ในห้างหุ้นส่วน บริษัทหรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 248 แห่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าการจะให้พ้นจากตำแหน่งได้วุฒิสภาต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3ใน4ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ในวุฒิสภา ซึ่งในกรณีนี้ต้องใช้เสียง 111 เสียงขึ้นไปจากสว.ที่มีอยู่ทั้งหมด 149 คนถึงจะสามารถให้นายภักดีพ้นจากตำแหน่งได้
น.อ.อนุดิษฐ์ ในฐานะผู้ร้องได้แถลงเปิดคำร้องว่า กรณีได้ขอให้นายภักดีพ้นจากตำแหน่งใน 3 กรณี ประกอบด้วย 1.การขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งป.ป.ช.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 248 จากกรณีดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทไทยวัฒนาฟาร์มาซูติคัล เด็กซ์โทรส จำกัด และขัดกับพ.ร.บ.ปปช.มาตรา 11 (3)
ทั้งนี้แม้ว่านายภักดีจะเคยอ้างว่าได้แสดงเจตจำนงลาออกจากตำแหน่งผ่านทางหนังสือพิมพ์เมื่อเดือนต.ค.2549 พร้อมกับอ้างบรรทัดฐานในคำพิพากษาศาลฎีกาพ.ศ.2536 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ.2544 แต่ไม่สามารถนำมากล่าวอ้างได้ในกรณีนี้เนื่องจากพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์พ.ศ.2549 กำหนดไว้ในเรื่องการลาออกของกรรมการบริษัทตามมาตรา 1153/1 ว่า กรรมการคนใดจะลาออกจากตำแหน่ง ให้ยื่นใบลาออกต่อบริษัท การลาออกมีผลนับแต่วันที่ใบลาออกไปถึงบริษัท ซึ่งไม่อนุญาตให้กรรมการลาออกได้โดยการประกาศผ่านทางหนังสือพิมพ์
"มีหนังสือจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าซึ่งตอบมายังผมในการสอบถามว่าโดยยืนยันว่านายภักดีเป็นกรรมการบริษัทตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.2544 และไม่ปรากฏหลักฐานใดๆทางทะเบียนว่านายภักดีได้จดทะเบียนออกจากตำแหน่งดังกล่าวตามกฎหมายแต่อย่างใดและนายทะเบียนก็ไม่เคยได้รับหนังสือ ประกอบกับประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)ซึ่งตั้งป.ป.ช.ชุดนี้ขึ้นมาได้ระบุชัดว่ากรรมการทุกคนต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการอื่นๆภายใน 15 วันนับตั้งแต่ได้รับตำแหน่ง" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า 2.เป็นกรณีที่นายภักดีในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข จงใจระเบียบว่าด้วยการไต่สวนของป.ป.ช.พ.ศ.2547ข้อ 13 และพ.ร.บ.ปปช.มาตรา 46 (1) ห้ามไม่ให้แต่งตั้งผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์มาก่อนเป็นอนุกรรมการไต่สวนและอนุกรรมการผู้ใดเห็นว่าตนอาจมีเหตุอันถูกคัดค้านได้ว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเที่ยงธรรม เพราะนายภักดีมีส่วนรู้เห็นกรณีนี้มาก่อนในฐานะเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและมีภารกิจรับผิดชอบด้านสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวโดยตรงเมื่อปี2545
“หนำซ้ำยังได้แต่งตั้งจากกระทรวงให้เป็นประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการนี้ด้วยเมื่อวันที่ 10 ก.ย.2547 นอกจากนี้ นายภักดียังเป็นผู้ลงนามในเอกสารสำคัญเกี่ยวกับโครงการนี้มาโดยตลอด เช่น ลงนามขอแก้ไขสัญญาจ้างที่ปรึกษาวันที่ 7 ก.พ.2546 หรือ ลงนามขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)วันที่ 11 ก.ค.2546 เป็นต้น" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ 3 คือ การปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 3 เพราะโครงการนี้มีการยกเลิกในภายหลังแต่งบประมาณกว่า800ล้านบาทคืนสู่กระทรวงการคลังทั้งหมดกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เสียประโยชน์ แต่เรื่องนี้กลับไม่ได้จบลงเพราะมีการไต่สวนและวินิจฉัยคดีบิดเบือนนิติธรรมไม่รับฟังพยานหลักฐานตลอดจนมีการตั้งข้อมูลเป็นเท็จ เช่น ข้อมูลการใช้โทรศัพท์โดยมีการอ้างว่าคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รมว.สาธารณสุข ขณะนั้นไปยังนพ.วัลลภ ไทยเหนือ ว่าคุณหญิงสุดารัตน์อยู่กทม.ทั้งที่อยู่จ.สุราษฎร์ธานี หรือ การโทรศัพท์จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์มายังไทยเป็นเวลา 29 นาทีแท้ที่จริงมีการโทรศัพท์เพียง 3.9นาทีเท่านั้น เป็นต้น
ขณะที่ นายภักดี แถลงคัดค้านทั้ง 3 ประเด็นว่า ในประเด็นที่ 1 เกี่ยวกับสถานะการเป็นกรรมการบริษัท ยืนยันได้ลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวตั้งแต่ได้รับตำแหน่งป.ป.ช.ตามประกาศคปค.เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2549 เป็นไปตามมาตรา 11 ของพ.ร.บ.ปปช. ทั้งนี้ได้ยื่นใบลาออกจากบริษัทต่อกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.2549 ผ่านทางองค์การเภสัชกรรม(อภ.) ปรากฏหลักฐานว่าอภ.ได้ส่งไปทางไปรษณีย์แล้วเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2549 ถือว่าได้ลาออกแล้วภายใน15วันตามเงื่อนไขของประกาศคปค.
"การเข้าไปเป็นกรรมการดังกล่าวเป็นไปตามมติของอภ.ตั้งแต่ปี 2544 โดยผมไม่ได้ร้องขอดำรงตำแหน่งแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการจนถึงลาออกในปี 2549 ไม่เคยเข้าร่วมประชุมหรือร่วมงานกับบริษัทเลยเพราะบริษัทมีปัญหาในการดำเนินธุรกิจมาตลอด" นายภักดี กล่าว
นายภักดี กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งประธานอนุกรรมการไต่สวนของป.ป.ช. ขอชี้แจงว่าได้นำประเด็นที่เชื่อมโยงว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการดังกล่าวให้ป.ป.ช.วินิจฉัยแล้วว่าจะสามารถเป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนได้หรือไม่ทั้งที่ยังไม่มีผู้ร้องคัดค้านเข้ามาและต่อมาคุณหญิงสุดารัตน์ได้ร้องประเด็นนี้ซ้ำมายังป.ป.ช. กระทั่งป.ป.ช.วินิจฉัยถึง 3 ครั้งว่าไม่ถือว่าเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์มาก่อนตามนัยของพ.ร.บ.ปปช.มาตรา 46 และระเบียบคณะอนุกรรมการไต่สวนของป.ป.ช.ข้อที่ 11
"ยืนยันว่าการเข้ามาทำหน้าที่นี้ไม่ได้เป็นความต้องการส่วนตัวเพราะมีอคติต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดตามที่มีการกล่าวหา แต่เข้ามาทำหน้าที่ตามป.ป.ช.ได้มอบหมายซึ่งป.ป.ช.ได้พิจารณาแบ่งงานภารกิจตามความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล" นายภักดี กล่าว
นายภักดี กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ 3 การปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ขอคัดค้านว่ากระบวนไต่สวนไม่สามารถเปิดเผยข้อเท็จจริงและหลักฐานได้ ดังนั้น การอ้างว่าหลักฐานดังกล่าวเพราะไม่มีใครสามารถยืนยันความน่าเชื่อถือได้ ประกอบกับการพิจารณาของคณะอนุกรรมการไต่สวนไม่ถือว่าเป็นที่สุด เนื่องจากมีหลายกรณีที่ป.ป.ช.เคยมีความเห็นแตกต่างจากคณะอนุกรรมการไต่สวน หรือแม้แต่ป.ป.ช.จะเห็นด้วยกับคณะอนุกรรมการไต่สวนแต่เมื่อส่งไปยังอัยการสูงสุดหากเห็นว่าหลักฐานไม่สมบูรณ์ก็สามารถคัดค้านได้ตามขั้นตอนปกติ จึงไม่กล่าวได้ว่าความคิดเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนอย่างหนึ่งใดเป็นความไม่เที่ยงธรรมตามที่มีการกล่าวหา
ต่อมานายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา ในฐานะประธานการประชุมได้กำหนดกรอบแนวทางการพิจารณาพยานหลักฐานจากทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องว่า นัดฟังพยานเพิ่มเติมในวันที่ 20 ม.ค. และนัดประชุมเพื่อฟังการซักถามผู้ร้องและผู้ถูกร้อง ผ่านกระบวนการของคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภาซึ่งจะรวบรวมประเด็นคำถามจากสว.ในวันที่ 31 ม.ค. จากนั้นจึงจะนัดวันลงมติให้กรรมการป.ป.ช.พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ต่อไป


