posttoday

คู่มือสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ

27 ธันวาคม 2554

ประเทศไทยได้ประสบกับภัยพิบัติธรรมชาติเรื่อยมา

ประเทศไทยได้ประสบกับภัยพิบัติธรรมชาติเรื่อยมา

โดย...ชลิต แก้วจินดา

อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตประธานคณะ

กรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกัน

และแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตรและชุมชน

ที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา

ประเทศไทยได้ประสบกับภัยพิบัติธรรมชาติเรื่อยมา แต่การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบกลับยังคงไม่ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม มีผู้ประสบภัยและชุมชนตกสำรวจไม่ได้รับความช่วยเหลือ อีกทั้งยังมีภัยพิบัติเล็กน้อยที่ไม่ได้เป็นข่าว จึงไม่มีผู้ใดทราบและเข้ามาให้ความช่วยเหลือเลย ทั้งที่กลุ่มคนเหล่านั้นก็เป็นผู้ประสบภัยพิบัติที่ต้องการความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน การให้ความช่วยเหลือในบางกรณีจึงไม่สอดคล้องกับสิทธิของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติ เป็นแต่เพียงนโยบายที่รัฐบาลกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นในแต่ละครั้งที่มีภัยพิบัติ จึงทำให้การให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง และบางพื้นที่ก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือตามที่รัฐบาลกำหนดด้วยปัญหาการสำรวจ การตรวจสอบ และการรับรองจากหน่วยงานของรัฐ จนทำให้ผู้ประสบภัยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบต้องออกมาเรียกร้องสิทธิที่พึงได้รับจากรัฐ

นอกจากนี้ ผู้ประสบภัยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบยังต้องเผชิญกับอุปสรรคที่หลากหลาย ถ้าการให้ความช่วยเหลือทางผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติที่ไม่ได้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์สิทธิมนุษยชน อาจส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมนั้นไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัย และอาจหลงไปกับกระบวนการวางแผนที่อาจละเลยต่อสิทธิของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติ ทำให้รัฐบกพร่องในการปกป้องสิทธิต่างๆ อาทิ สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ สิทธิด้านอาหาร สิทธิด้านน้ำ สิทธิการกลับสู่ถิ่นฐานเดิม สิทธิการมีที่อยู่อาศัย สิทธิด้านเครื่องนุ่งห่ม สิทธิด้านสุขภาพ และสิทธิในการได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น สิทธิมนุษยชนจึงเป็นฐานทางกฎหมายให้กับการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติ

แม้ว่าตามมาตรา 30 ของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 กำหนดให้ผู้อำนวยการในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบสำรวจความเสียหายจากสาธารณภัยที่เกิดขึ้น และทำบัญชีรายชื่อผู้ประสบภัยและทรัพย์สินที่เสียหายไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งออกหนังสือรับรองให้ผู้ประสบภัยไว้เป็นหลักฐานในการรับการสงเคราะห์และฟื้นฟู และหนังสือรับรองต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการสงเคราะห์และการฟื้นฟูที่ผู้ประสบภัยมีสิทธิได้รับจากทางราชการ พร้อมทั้งระบุหน่วยงานที่เป็นผู้ให้การสงเคราะห์หรือฟื้นฟูและสถานที่ติดต่อของหน่วยงานนั้นไว้ด้วยก็ตาม

แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ประสบภัยเหล่านั้นกลับต้องอาศัยเอกสารทางราชการ เช่น ทะเบียนบ้านหรือบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งสูญหาย จึงยากต่อการแสดงตนต่อหน่วยงานของรัฐ หรือหลังจากสถานการณ์อุทกภัยและวาตภัยที่ผ่านมา รัฐบาลจัดทำแบบสำรวจความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยและวาตภัยเฉพาะ 5 จังหวัด ได้แก่ จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี และสงขลา ทั้งที่รัฐบาลหรือส่วนราชการในท้องถิ่นควรจะอำนวยความสะดวกให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของสิ่งของ บุคลากร หรืออุปกรณ์และเครื่องมือก็ตาม ให้เข้าถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยพลัน เพราะถ้าหากเกิดอุปสรรคหรือความล่าช้าก็จะทำให้ความช่วยเหลือนั้นอาจไม่ทันการ และเป็นการเพิ่มเติมความสูญเสียที่ไม่จำเป็น อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐจึงควรริเริ่มบทบาทในเชิงรุก ด้วยการเข้าถึงผู้ประสบภัย มากกว่ารอคอยให้ผู้ประสบภัยมาแจ้งข้อมูล

นอกจากนี้ แม้ว่ารัฐมีหน้าที่ในการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในการตอบสนองต่อภัยพิบัติธรรมชาติเพื่อปกป้องชีวิตของประชาชน รวมถึงการแจ้งเตือนภัยให้แก่ประชาชนของตนและรัฐอื่นที่อาจได้รับผลกระทบ ในกรณีที่รัฐบาลไทยไม่ได้เตรียมความพร้อมการตอบสนองต่อภัยพิบัติธรรมชาติอย่างเพียงพอ จนทำให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือไม่เพียงพอประเทศไทยต้องรับผิดชอบ จึงควรจะต้องมีกฎหมายหรือกฎระเบียบควบคุมการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ และควบคุมองค์กรต่างๆ ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและทันท่วงที

การให้ความช่วยเหลือจึงควรที่จะตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของปัจเจกชนที่ได้รับผลกระทบที่กำลังมีพัฒนาการที่ชอบธรรมมากเพิ่มขึ้น และผู้ที่มีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติ อาทิ ภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งต้องยอมรับว่ามักจะปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าภาครัฐ ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันระหว่างประเทศ หรือองค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ หากแต่ก็ต้องยอมรับว่างานส่วนใหญ่ขององค์กรพัฒนาเอกชนมุ่งที่จะตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบมากกว่ามุ่งเน้นการพัฒนาและฟื้นฟู เนื่องมาจากเหตุผลที่ว่ากิจกรรมดังกล่าวสามารถหาแหล่งเงินทุนในการบริจาคได้ง่ายกว่า

โดยในช่วงแรกของการเกิดภัยพิบัติ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจำต้องอาศัยการให้ความช่วยเหลือทั้งจากภายในประเทศและจากระหว่างประเทศ แต่พอมาถึงช่วงการฟื้นฟูต้องยอมรับว่าเป็นบทบาทของรัฐเจ้าของดินแดนเป็นสำคัญ โดยความเชื่อมโยงกันระหว่างช่วงของการให้ความช่วยเหลือกับช่วงการฟื้นฟู จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยนโยบายที่ชัดเจนและการประสานงานกันในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบ จึงจะส่งผลให้การบริหารจัดการภัยพิบัติเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที รัฐบาลจึงควรจัดทำคู่มือสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ โดยมีรายละเอียดตั้งแต่วิธีการแจ้งเตือนภัยพิบัติ ช่องทางติดต่อขอรับความช่วยเหลือ การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย สิทธิของผู้ประสบภัยในการขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น รวมทั้งการติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ และสถานที่ติดต่อ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนผู้ประสบภัยต้องการทราบถึงสิทธิของตนในการได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐเมื่อประสบภัย อาทิ จำนวนของเงินที่ได้รับการชดเชยค่าเสียหายจากทรัพย์สิน พืชผลทางการเกษตร ปศุสัตว์ สัตว์เลี้ยง รวมทั้งการได้รับสิทธิมีที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม มากกว่าสิ่งที่ภาครัฐจะเป็นผู้หยิบยื่นให้ที่มีจำนวนไม่เพียงพอต่อการเยียวยาความเสียหายที่แท้จริง และต้องรอคอยในแบบขอรับความช่วยเหลือ จึงจะสามารถดำรงชีวิตหรือเริ่มต้นใหม่ได้ แทนที่ประชาชนผู้ประสบภัยต้องเป็นฝ่ายไปขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐโดยไม่อาจทราบถึงสิทธิของตน จึงเป็นเพียงความช่วยเหลือที่ภาครัฐจะหยิบยื่นให้เท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่กำหนดถึงหน้าที่ของประชาชน รวมทั้งการกำหนดถึงสิทธิของประชาชนตามที่บัญญัติไว้ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ในการได้รับความคุ้มครองจากรัฐในด้านต่างๆ ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติธรรมชาติจึงได้รับความคุ้มครองจากรัฐในการได้รับความช่วยเหลือ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติก็จะปฏิบัติตามบทบาทของตนโดยไม่ไปก้าวก่ายหน่วยงานอื่น

ในการที่จะประสานข้อมูลเช่นนี้ได้ หน่วยงานอื่นของรัฐ กองทัพ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชน จึงต้องร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการบริหารจัดการภัยพิบัติตามโครงสร้างของคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ที่มีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานกลางของรัฐ ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งรูปแบบการบริหารจัดการดังกล่าวนี้ คงต้องประสานการจัดการร่วมกัน โดยเน้นการจัดการที่สามารถบูรณาการภารกิจที่เกี่ยวข้องกันได้อย่างเป็นระบบ ส่วนหน่วยงานอื่นควรที่จะเป็นผู้ประสานงานในลำดับรองเท่านั้น แล้วเรียนรู้ข้อบกพร่องที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไม่สามารถเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการภัยพิบัติดังกล่าวได้ แล้วนำมาปรับปรุงการดำเนินงานในแต่ละท้องถิ่นต่อไป อีกทั้งการกระจายอำนาจการปกครองและแบ่งพื้นที่ให้ส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบดูแล จึงสมควรที่จะจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น จึงจะสามารถให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการบริหารจัดการภัยพิบัติได้

ดังนั้น คู่มือสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพและความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ การซ้อม ลดความซ้ำซ้อนของการให้ความช่วยเหลือ และให้การทำงานเป็นเอกภาพอย่างแท้จริง เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ จึงย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพื่อเวลาที่ต้องมีการให้ความช่วยเหลืออย่างแท้จริงแล้วจะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานมีความพร้อมและรู้จักบทบาทของตนเองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์และสร้างเครือข่าย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามความสำคัญลงได้ เพราะการบริหารจัดการภัยพิบัติที่ดีไม่มีหน่วยงานใดสามารถกระทำได้โดยลำพัง หรือปราศจากการแบ่งปันหน้าที่และความรับผิดชอบที่เหมาะสมไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ พร้อมกับตอบสนองสิทธิของผู้ประสบภัยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติได้อย่างแท้จริง

 

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์