มาร์คอัดเฉลิมอย่ากดดันจนท.ปมสลายม็อบ
อภิสิทธิ์ ไม่หนักใจแจงสลายชุมนุม อัด"เฉลิม" เลิกกดดันเจ้าหน้าที่
อภิสิทธิ์ ไม่หนักใจแจงสลายชุมนุม อัด"เฉลิม" เลิกกดดันเจ้าหน้าที่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการจะเข้าชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลเกี่ยวกับเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ว่า ได้เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องซึ่งจะได้ชี้แจงการดำเนินการในภาพรวม ตั้งแต่ตัวเหตุการณ์จนนำมาสู่การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ว่า ความมุ่งหมายในการขอพื้นที่การจราจรคืน และการดำเนินการเป็นอย่างไร นอกจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนว่า จะสอบถามในประเด็นใด
"ผมไม่หนักใจกับการชี้แจงในวันนี้ เพราะผมมั่นใจว่าในที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงจะเป็นที่เข้าใจและเป็นที่ยอมรับในสังคมนี้ ซึ่งที่พนักงานสอบสวนอ้างมา ระบุว่ามีพยานอ้างอิงว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นผลปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งการของนายสุเทพ ซึ่งผมยืนยันว่าไม่ใช่แน่นอน กับสิ่งที่เกิดขึ้นและอยากบอก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้มาโดยตลอดว่า ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ควรให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ เพราะไม่ทราบว่า เกี่ยวข้องอย่างไร อีกทั้งเนื้อหาที่พูดก็ไม่อยู่ในกรอบของการสอบสวน ดีที่สุดควรจะอยู่เฉยๆ ให้เจ้าหน้าที่ได้ทำหน้าที่จะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องให้สัมภาษณ์ เพราะจะทำให้เจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกกดดัน หรือชี้นำได้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ได้ชี้แจงถึงการปฏิบัติหน้าที่ว่าเป็นผู้รับผิดชอบชอบในฐานะผอ.ศปภ. เป็นการพูดตามโครงสร้าง ซึ่งทุกคำสั่ง ได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าต้องปฏิบัติกับประชาชนตามหลักสากล การปฏิบัติทั้งหลายก็อิงกับคำวินิจฉัยของศาลในเรื่อง ความไม่ชอบด้วยกฏหมายของการชุมนุม และหลักการในการปฏิบัติเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กำลังตรวจสอบว่า การจะย้าย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และผู้ต้องหา นปช.คนอื่นๆเข้าไปอยู่ที่โรงเรียนพล.ตำรวจ บางเขน ซึ่งปรับเป็นเรือนจำพิเศษนั้นเป็นมติของใคร เพราะมีการอ้างว่าเป็นข้อเสนอของ คอป. ซึ่งเห็นว่าความผิดที่มีเหตุผลในการจะแยกผู้ต้องหาออกมาในเรือนจำนี้ คือการทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่น การชุมนุมทางการเมืองแล้วถูกลงโทษว่าฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก. ก็ถือว่ามีเหตุผลที่จะแยกคนเหล่านี้ออกมา และความจริง ตนเองก็สนับสนุนให้มีการประกันตัวและไม่ดำเนินคดีกับคนเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ความผิดประเภทการก่อการร้าย การทำร้ายผู้อื่น การใช้อาวุธสงคราม การวางเพลิง ซึ่งเป็นความผิดทางอาญาทั่วไป ตนเองไม่คิดว่าจะเป็นความผิดทางการเมือง ยกตัวอย่างว่า ตนเองมีปัญหากับบางคน เพราะเหตุผลทางการเมือง แล้วผมไปชก และไปฆ่าเค้า แล้วจะมาอ้างว่านี่เป็นความผิดทางการเมืองไม่ได้เพราะเป็นการทำความผิดตามกฏหมายอาญา มันไม่ใช่ว่าผมแสดงออกทางความคิดทางการเมืองแล้วถูกเล่นงาน นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"ตอนนี้มีความพยายามทำให้เกิดความสับสนว่า ถ้าคนๆนั้น เคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ต้องเคารพกฏหมายบ้านเมือง ซึ่งผมว่า มันใช้ไม่ได้ มิฉะนั้น ต่อไปนี้ผมไม่ชอบหนังสือพิมพ์ฉบับไหน ผมก็บอกให้คนไปเผาได้ใช่ไหมครับ เพราะมันเป็นเรื่องการเมือง ผมไม่ได้มีเรื่องส่วนตัวกับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น ถ้าทำกันแบบนี้ แล้วหลักกฏหมายจะอยู่ที่ไหน" นายอภิสิทธิ์ กล่า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผู้ต้องหาเพียงกลุ่มเดียวที่จะให้ไปอยู่ในสถานที่ซึ่งจัดเป็นพิเศษนี้ได้คือ กลุ่มคนที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดในการชุมนุมเกิน 10 คน เพราะไม่ใช่การบังคับใช้กฏหมายโดยทั่วไป และสถานการณ์นี้ก็สิ้นสุดไปแล้ว จึงมีเหตุมีผลที่จะแยกปฏิบัติ ดังนั้น อยากให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ทบทวนในเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะเป็นปัญหามากขึ้น ถ้าไม่ทบทวนก็จะกลายเป็นสองมาตรฐาน และ คอป.ควรต้องแสดงความเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ใช่เจตนาของ คอป.หรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็อาจถูกอ้างไปเพือ่เป็นประเด็นทางวการเมืองได้
"ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลยังทำเช่นนี้ นอกจากจะไม่สามารถนำบ้านเมืองไปสู่ความปรองดองได้แล้ว ว้นข้างหน้า บ้านเมืองก็จะมีแต่ความวุ่นวาย ใครอยากได้อะไรทางการเมืองก็ไม่ต้องคำนึงถึงกฏหมาย แล้วอ้างว่าทุกอย่างเป็นความผิดทางการเมือง ผมเห็นด้วยว่าควรมีอิสระการแสดงออกทางการเมืองได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของกฏหมาย ซึ่งนายกฯยังไม่เคย ส่งสัญญาณที่จะให้เกิดความปรองดองในประทศตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งที่หลายเรื่องสามารถพูดคุยกับผู้ที่สนับสนุนตัวเองได้ และมีหลายเรื่องที่กลายเป็นปมขัดแย้งทางการเมือง ถ้านายกฯตัดสินใจแสดงออกส่งสัญญาณตั้งแต่ต้น ปัญหาก็จะไม่เกิด" นายอภิสิทธิ์ กล่าว