posttoday

ศาลให้ส่ง 2 หนุ่มไทยผู้ร้ายข้ามแดนไปออสเตรเลีย

30 พฤศจิกายน 2554

ศาลอาญา มีคำสั่ง ส่งขัง “ 2 หนุ่มไทย” รอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ไปดำเนินคดีออสเตรเลีย ข้อหาฆ่าฝรั่ง

ศาลอาญา มีคำสั่ง ส่งขัง  “ 2 หนุ่มไทย” รอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ไปดำเนินคดีออสเตรเลีย ข้อหาฆ่าฝรั่ง

ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 30 พ.ย.54 เวลา 09.00 น. ศาลอ่านคำสั่งคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดน หมายเลขดำ อผ. 7/2553 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ เป็นโจทก์  ยื่นคำร้อง ขอให้ส่งตัว นายสารัต หรือสุรัต หรือศรุต สีหวีระชาติ  อายุ 28 ปี อดีตนักเรียนไทย ซึ่งไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย และนายธติยะ หรือกอล์ฟ เทิดภูธรรม อายุ 26 ปี  จำเลยที่ 1-2 เป็นผู้ร้ายข้ามแดน กลับไปดำเนินคดีที่ประเทศออสเตรเลีย ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามคำร้องขอรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 และประกาศสัญญาว่าด้วยส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษ ร.ศ.129
 
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า รัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ได้มีคำร้องขอให้จับกุมชั่วคราวจำเลยทั้งสองและนายเทพรัต เทพสูตซึ่งหลบหนี เพื่อส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่ประเทศออสเตรเลียในข้อหาฆาตกรรมตามกฎหมายออสเตรเลียมีโทษจำคุกมากกว่า 1 ปี
 
โดยเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 52 จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธมีดแทงนายลุค มิทเชลล์ ชาวออสเตรเลีย ที่ท่อนบนลำตัวหลายครั้ง เหตุเกิดที่ถนนซิดนีย์  บรันสวิค รัฐวิกตอเรีย ซึ่งนายมิทเชลล์ ถึงแก่ความตายหลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ต่อมาศาลประเทศออสเตรเลียได้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 2 ไว้แล้ว พร้อมประสานถึงสำนักงานอัยการสูงสุดของไทยให้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 2 กระทั่งจับกุมจำเลยทั้ง 2 ได้ กระทรวงการต่างประเทศจึงทำหนังสือแจ้งสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการส่งตัวจำเลยทั้ง 2 เป็นผู้ร้ายข้ามแดน แม้ว่าประเทศไทยและประเทศออสเตรเลียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ประเทศออสเตรเลียเคยเป็นอาณาบริเวณของประเทศอังกฤษ จึงยกประกาศสัญญาว่าด้วยส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันในระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษ ร.ศ. 129 ประกอบการพิจารณา พร้อมจะกระทำตามสัญญาต่างตอบแทนหากมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในอนาคตให้แก่ทางการไทยด้วย
 
โดยจำเลยทั้งสอง นำสืบต่อสู้ว่า  ประเทศไทยกับออสเตรเลียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน และประเทศออสเตรเลียไม่ได้อยู่ในบังคับของอังกฤษ ประกาศสัญญาฯ จึงใช้บังคับระหว่างไทยและอังกฤษเท่านั้น อีกทั้งการส่งขอเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไม่ใช่ในลักษณะต่างตอบแทน และหากส่งตัวไปจำเลยจะไม่ได้รับการเป็นธรรมในการต่อสู้คดี เพราะชาวออสเตรเลียชอบเหยียดสีผิวชาวเอเชีย ซึ่งคณะลูกขุนเป็นชาวออสเตรเลียย่อมมีอคติต่อจำเลยทั้งสอง ขณะที่หากศาลมีคำพิพากษาจำคุกในประเทศออสเตรเลียจะไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษเหมือนประเทศไทย
 
ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า แม้ประเทศไทยกับออสเตรเลียจะไม่ได้ทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยตรง แต่ประเทศออสเตรเลียเคยเป็นประเทศในอารักขาของประเทศอังกฤษ  ซึ่งแม้ว่าประเทศออสเตรเลียจะเป็นเอกราชจากประเทศอังกฤษแล้วก็ตาม แต่ประเทศออสเตรเลียสมัครใจปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ประเทศอังกฤษเคยทำไว้กับประเทศไทย จึงนำมาบังคับใช้กับประเทศออสเตรเลียได้ นอกจากนี้ทางการออสเตรเลียจะปฏิบัติต่างตอบแทนหากทางการไทยขอส่งคนสัญชาติออสเตรเลียเป็นผู้ร้ายข้ามแดน  การปฏิบัติต่างตอบแทนนั้นโดยสภาพเป็นการให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม จึงไม่จำเป็นต้องเคยทำหรือมีเงื่อนไขส่งผู้ร้ายข้ามแดนไว้ก่อน
 
ขณะที่จำเลยทั้งสอง ได้รับคำยืนยันจากทางการออสเตรเลียว่าจะได้รับสิทธิ์เช่นเดียวกับคนโทษคนอื่นในออสเตรเลีย จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทั้งการจัดหาทนายความ ได้รับการประกันตัว ออกกำลังกาย ดูแลรักษาพยาบาล การศึกษา และหากคดีถึงที่สุดแล้วสามารถขอโอนตัวกลับมาคุมขังที่ประเทศไทยได้ จึงเห็นได้ว่า ประเทศออสเตรเลียมีกระบวนการที่น่าเชื่อถือ หากมีการดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสอง ที่ประเทศออสเตรเลีย เชื่อว่าจำเลยทั้งสอง จะได้รับความเป็นธรรม ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามกฎหมายไทยมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ประเทศออสเตรเลียไม่มีโทษประหารชีวิต อีกทั้งกรณีดังกล่าวต้องไปพิสูจน์ความผิดโดยให้ศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาอย่างแท้จริง
 
ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยจะส่งจำเลยทั้งสองไปเป็นผู้ร้ายข้ามแดน จึงไม่ได้เป็นการทำให้จำเลยทั้งสองเสียสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงไม่ทำให้เสียเปรียบในการดำเนินคดี จากพยานหลัก
ฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมด มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่จะส่งตัวจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร้ายข้ามแดนได้ ไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายใดๆ จึงมีคำสั่งให้ขังจำเลยทั้งสองไว้เพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดียังประเทศออสเตรเลีย แต่ไม่ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองออกไปนอกประเทศก่อนครบกำหนด 30 วัน และหากไม่ได้ส่งตัวจำเลยทั้งสองภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดก็ให้ปล่อยตัวจำเลยทั้งสองไป
 
ภายหลังทนายความของนายสารัต เปิดเผยว่า  จะยื่นอุทธรณ์ต่อ ขอให้ศาลอนุญาตพิจารณาคดีในประเทศไทย ซึ่งเราพร้อมต่อสู้ โดยตั้งแต่จำเลยถูกควบคุมตัวตนทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม
3 ฉบับ ยื่นต่อกระทรวงการต่างประเทศขอให้พิจารณากรณีการเหยียดสีผิว การทำร้ายร่างกายของคนไทย แต่ไม่ได้รับการพิจารณา ทางผู้บริหารกลับใช้ดุลพินิจส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนโดยใช้หลักตอบแทน
 
ด้านมารดาของนายสารัต กล่าวว่า วันเกิดเหตุ เพื่อนของบุตรชายโทรมาบอกว่า ถูกแทงที่แขนก็ตกใจจึงบอกให้บุตรชายกลับประเทศไทย แต่บุตรชายบอกว่าไม่ได้เป็นคนทำผิดและไม่ยอมกลับขอเรียนให้จบก่อนเพราะเหลืออีกวิชาเดียว กระทั่งช่วงเย็นถึงยอมกลับประเทศไทย เมื่อสอบถามเหตุการณ์บุตรชายเล่าว่าวันเกิดเหตุไปดื่มสุรากับเพื่อนคนไทยอีก 2 คน แต่ไม่ทราบว่าเพื่อนในกลุ่มมีอาวุธติดตัวไปด้วย ซึ่งขณะเกิดเหตุบุตรชายไม่ได้เป็นคนถืออาวุธมีด

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025