ปฎิวัติ’ 49 ปรองดอง’ 54
เปิดโรดแมพ ‘บิ๊กบัง’ ลืมอดีตเพื่ออนาคต
เปิดโรดแมพ ‘บิ๊กบัง’ ลืมอดีตเพื่ออนาคต
โดย..ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย, ธนพล บางยี่ขัน
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมเวลานี้ เริ่มมีการขยับเขยื้อนกันพอสมควรโดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ความพยายามในการออกพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ เรื่อยจนถึงการโยนหินถามทางด้วยพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ประเด็นเหล่านี้ทำให้อุณหภูมิการเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่งได้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ คณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีที่มาที่ไปจากญัตติสายฟ้าแลบของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้เกิดคำถามมากมายถาโถมเข้าใส่ 'บิ๊กบัง' ตั้งแต่ 'การรับงานพ.ต.ท.ทักษิณ-ปูทางสู่การนิรโทษกรรม' ไปจนถึงขั้นสบประมาทว่าคนปฎิวัติทำลายระบอบประชาธิปไตยจะมาสร้างความปรองดองได้อย่างไร
ทั้งหมดนี้พล.อ.สนธิ ผู้ที่วันนี้พลิกบทบาทจากคนปฎิวัติ 2549 มาเป็นประธานกมธ.ปรองดอง 2554 พร้อมตอบทุกคำถามกับ 'โพสต์ทูเดย์' แบบเปิดอกและกางโรดแมพนำพาประเทศไทยสู่ความปรองดอง
บิ๊กบัง เล่าถึงสาเหตุของการมีกมธ.ดังกล่าวว่า จริงๆแล้วในเรื่องความขัดแย้งไม่เกิดหลังจาก19ก.ย.2549แต่เกิดมาก่อน โดยความขัดแย้งของเราเป็นระหว่างกลุ่มต่อกลุ่ม ไม่ใช่ประชาชนกับรัฐ เราจึงคิดถึงเรื่องการปรองดองขึ้นมา มีคนถามเสมอว่าเราจะปรองดองกันได้อย่างไร การปรองดองจะทำได้ต้องหาตัวกลางเข้ามาแก้ปัญหา ซึ่งเป็น คนที่ได้รับความเคารพศรัทธามาช่วยแก้ปัญหา ได้มีโอกาสได้คุยกับนักธุรกิจและนักวิชาการหลากหลายพบว่าต้องสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นไม่งั้นความปรองดองเกิดขึ้นไม่ได้
"ที่ผ่านมามีคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เข้าไปทำงาน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้าไปสร้างความปรองดอง แต่พอเข้ามาในสภาพบว่าปัญหาเกิดจากข้างในสภาและไปขยายตัวออกไปข้างนอก เป็นลักษณะของความขัดแย้งจากข้างในไปสู่ข้างนอก วันนี้ถ้าจะแก้ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ปัญหาเกิดจากการเมืองขยายไปสู่ข้างนอก เมื่อความขัดแย้งเกิดจากการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง พอมานึกถึงตรงนี้คิดว่าใช้สภาฯเป็นทางแก้"
0 ทำไมพรรคเพื่อไทยถึงยอมให้เป็นประธานกมธ.
วันนี้มันไม่มีทางออกด้วยกันทั้งนั้น ในเมื่อเราเสนอในสิ่งที่ดีและในฐานะที่เราเป็นคนนึงและเชื่อว่าหลายๆคนคงคิดตรงกันว่า "เอาล่ะวันไอ้คนที่มันทำให้เกิดการปฎิวัตินี่แหละ" และผมจะทำให้เกิดการปรองดอง ทุกคนบอกผมว่าผมไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่เราจะทำให้ดูว่ะว่าประชาธิปไตยมันคืออะไร
0รู้สึกอย่างไรที่คนบอกว่าท่านไม่ใช่ประชาธิปไตย
คนไม่รู้จักประชาธิปไตยจริงๆว่าเป็นอย่างไร วันนี้เราประชาธิปไตยหรือยังใครตอบได้ ถ้าไม่เรียนไม่รู้หรอก ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งอย่างเดียว ความยากจนของประชาชน การไม่มีการศึกษาทำให้ประชาธิปไตยเกิดไม่ได้ ประเทศไทยเราเป็นสามเหลี่ยมแบ่งออกเป็น 3 ส่วน 1.คนรวย 2.คนปานกลาง 3.คนจน ซึ่งคนจนเยอะมากที่สุด ดังนั้น การเลือกตั้งจึงไม่ใช่แค่การเลือกเอาเฉพาะคนของประชาชน
เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาบอกว่าผมทำร้ายประชาธิปไตยเป็นเพียงการมองแค่มุมมุมหนึ่งเท่านั้น เมื่อประชาชนจะฆ่ากันในฐานะที่เราเป็นทหารเราต้องรักษาความมั่นคงภายในเพื่อรักษาประชาธิปไตย
0 ก่อนการเสนอตั้งกมธ.แสดงว่าได้คุยกับพรรคเพื่อไทยมาแล้ว
เป็นระดับผู้ใหญ่ในสภาของแต่ละพรรค เป็นจังหวะที่เราเห็นว่าระหว่างน้ำท่วมแม้ว่าจะมีการแบ่งพวกแต่ยังมีก่อกำเนิดของสังคมแห่งการเอื้อเฟื้ออารีกันอยู่ ความห่วงใยเกิดขึ้น จึงคิดว่าเราน่าจะทำตรงนี้เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เราต้องเอาตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น บอกแล้วว่าความขัดแย้งเกิดจากสภาเวลาแก้ไขเราต้องคุยกันในนี้ เพราะฉะนั้น การแก้ไขต้องหาหนทางที่มันไปได้และแก้ไขได้จริงๆ สาเหตุที่ทุกคนไม่ยอมกันขณะนี้ คือ มีคดี มีความแค้น มีความไม่พอใจ เพราะฉะนั้นเราจะทำยังไงล่ะ ทุกคนเอาแต่ความถิฐิเข้ามา เราเลยตัดสินใจว่าหลักการของเรา คือ ลืมอดีตให้หมด คิดถึงปัจจุบัน คุยกันแต่เรื่องปัจจุบันในการทำอนาคตให้มันดีและรุ่งโรจน์
เราเคยทะเลาะกัน เราเคยขัดแย้งกัน ลืมไปเรื่องเก่าๆไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรทั้งสิ้น ไม่งั้นไม่มีทางจบพอดี หันกลับมาคุยกันอะไรที่เป็นอดีตไม่ว่าชั่วดีเลวเราไม่ต้องมองมัน เราต้องมองอนาคต เป็นหน้าที่ที่เราต้องแก้ไขปัญหาอย่างไรในสิ่งที่เป็นอดีต แต่เราต้องศึกษาอดีตเพื่อมาคิดเรื่องปัจจุบันกับอนาคต สรุป คือ เราหยิบข้อศึกษาของคอป.และให้สถาบันพระปกเกล้าไปพิจารณาดูว่าจากจุดนั้นจะแก้ไขอย่างไรให้คนเกิดความสามัคคีกันโดยที่บอกเราต้องลืมอดีต เพื่อให้เป็นทฤษฎีออกมา
0 การลืมอดีตกปฎิเสธไม่ได้ว่าต้องมีการพูดถึงเรื่องคดีความและจะนำไปสู่ความแตกแยกหรือไม่เพราะเสื้อเหลืองประกาศแล้วว่าพร้อมจะออกมาหากมีการยุ่งกับคดีเพื่อเอื้อประโยชน์ใคร
อดีตคือสิ่งที่เกิดมาแล้วทั้งดีไม่ดี ทั้งรักทั้งขัดแย้ง ในเชิงทางวิชาการมองว่าอดีต คือ บทเรียน ประวัติศาสตร์ คือ บทเรียน เรียนรู้เพื่อเป็นบทเรียนในปัจจุบันสู่อนาคต อย่างทหารจะสอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้มาในเหตุการณ์ต่างๆ คือ บทเรียนเราต้องเอามาศึกษาเพื่ออนาคตจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก
เราจะมองไปถึงขั้นนั้นแน่นอนสำหรับเรื่องคดี เรื่องของเสื้อเหลืองก็มีคดีอย่างเรื่องสนามบินก็เลิกกันไป ความขัดแย้งที่มีเลิกไป เรามาอโหสิกันแล้ว เอาธรรมะมาใช้ให้อภัยต่อกัน สิ่งที่จะเกิดจากนี้ไปเนี่ย Rule of Law (นิติรัฐ) กฎกติกาของความเป็นประเทศต้องมีอยู่ แต่เอาล่ะที่ผ่านมาทุกคนรักประเทศไทย เสื้อเหลืองก็รักประเทศไทย เสื้อแดงก็รักประเทศไทย เสื้อน้ำเงินเสื้ออื่นๆก็รักประเทศไทย รักทางความรู้สึกของตัวเอง
ทุกคนมีจิตใจของการรักประเทศไทย ไม่เป็นไรเราถือว่าทุกคนมีความตั้งใจในการรักประเทศไทยในทางแบบของตัวจะผิดจะถูก ณ วันนี้เราหยิบคำสั่งคณะรัฐมนตรีที่ 66/23 ในอดีตมาจับ ตอนนั้นยังเคยทำสำเร็จ ณ วันนี้เราคิดตรงนี้ว่าจะสำเร็จไหมต้องหยิบตรงนั้นเราต้องมาให้อภัยต่อกันเพื่อปัจจุบัน
มันเหมือนกับเรามาปฎิรูป เรื่องการปรองดองเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะกิจเฉพาะเรื่องไม่ใช่การสร้างบ้านใหม่ บ้านเราถ้าแก้ปัญหาความปรองดองได้ทุกอย่างจบ คำว่าชาติ ประกอบไปด้วย ดินแดน การปกครอง สังคมวัฒนธรรมประเพณี และ คนในชาติ 4ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญของความเป็นชาติไทยและไม่ว่าชาติไหนต้องทั้งหมดนี้สมบูรณ์ ปัญหาบ้านเรามีเต็มไปหมด เช่น ดินแดนมีปัญหากับเพื่อนบ้านฟ้องศาลโลก การปกครองมีปัญหาไม่มีพลังอำนาจจะปกครองมัวแต่ทะเลาะกัน สังคมเริ่มไม่ดี มีแต่วัฒนธรรมที่ยังเข้มแข็ง
0 การลืมอดีตเห็นมีแนวจะต้องมีการยกเว้นคดีของคุณทักษิณก่อนหน้านี้จะทำให้ขัดกับหลักกับRule of Law หรือไม่
ไม่ ไม่ ไม่ มันมีหลักอภัยโทษ เรากำลังจะพูดถึงหลักการให้อภัยกันเพราะเราต้องการเรื่องใหญ่กว่าเรื่องที่ผ่านมาเราให้อภัยกัน แล้วอย่าทำผิดอีกน่ะ เราต้องใช้Rule of Law กัน
0 เท่ากับว่าใช้กระบวนการทางกฎหมายแก้ไขอดีต
ไม่ใช่ เรื่องอดีตเป็นเรื่องที่คณะกรรมการต่างๆที่ทำกันมา แล้วเรามาดูว่าจะทำอย่างไรถึงจะลืมอดีตได้ กฎหมายอะไร ใครผิดอะไร เหมือนกับเหตุการณ์เดือนตุลาคม เหมือนกับ 66/23 ทำไมทำได้ ทุกปีเราให้อภัยกันมาทุกปี ทุกปี วันนี้อภัยเพื่อความรักความสามัคคีเพื่อการสร้างชาติบ้านเมืองกันไม่ได้หรือ
0 แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าที่จะต้องมีคุณทักษิณเข้ามาอยู่ในกระบวนการลืมอดีตด้วย
เราไม่ได้มองว่าเป็นใคร เรามองวิธีการและระบบของเราต่างหาก เหมือนก่อนโน้น2-3ปีที่มีการคิดเรื่องการปรองดอง ตอนนั้นคนจะปรองดองมีไม่กี่คนเพื่อให้เกิดความปรองดองในชาติหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าต้องมีอดีตนายกฯทักษิณธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้บ้านเราจริงๆขัดแย้งไม่กี่คน ดังนั้น คณะกรรมการต้องมาคุยกันเรื่องนี้แต่จะว่ากันอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ เราเสนอหลักการเท่านั้นส่วนวิธีการต้องใช้อีกหลายภาคส่วนมานำเสนอ
0รูปธรรมของการลืมอดีตเพื่อสร้างอนาคตต้องไปสู่การร่างกฎหมายหรือเป็นเพียงรายงานไปให้รัฐบาล
อันนี้คงตอบไม่ได้นะ แต่อยากถามว่าเมื่อก่อนเขาทำกันได้อย่างไรคำสั่ง66/23 มาจากคณะรัฐมนตรี มันต้องว่ากัน แต่ประชาชนต้องเห็นด้วย ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยก็ไม่ลงตัว
0ได้คุยกับคุณทักษิณบ้างไหมเพราะมีกระแสบอกว่าท่านรับงานคุณทักษิณเพื่อมาทำในส่วนนี้เพื่อนำไปสู่การนิรโทษกรรม
ถามลงมาเนี่ยมันเสี่ยงมั้ย เริ่มมีคนด่าแล้วว่าไปดูไบบ้าง มันธรรมดา โดนทุกวันมาเรื่อยๆ เรามีเงินทรัพย์สินไม่เท่าไหร แต่มีการกล่าวหาว่าเรารวยเป็นพันล้าน เมื่อก่อนมีการคุยกันนะอย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้นานแล้ว ทักษิณเนี่ยน่ะยังไงเขาก็เป็นผู้ที่จบโรงเรียน (เตรียมทหาร) เดียวกัน ความเป็นพี่เป็นน้องยังมีเหมือนเดิมตลอด ยังไงก็ยังมีความรู้สึกทุกคนดีหรือชั่ว
0 เชื่อว่าคุณทักษิณยังคิดอย่างนี้อยู่
ไม่รู้...ผมคิดว่าเขาถูกสอนมาอย่างนี้นิ แล้วเขาจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าใครต่อใครจะเป็นอย่างไร มันไม่มีใครรู้
0 ประเมินว่าการสร้างความปรองดองจะไปถึงฝั่งฝันได้ต้องพึ่งรัฐบาล
ต้องพยายามตอบไม่ได้หรอก ทุกคนต้องช่วยกัน สื่อต้องเริ่มพูด ดีๆๆ ช่วยกันๆ ถ้าไปวิพากษ์วิจารณ์ มันไม่มีทางเป็นไปได้ องค์การบริหารฝ่ายนิติบัญญัติ ตรงนี้เป็นหัวใจที่นำพาไปสู่ให้ฝ่ายบริหารทำ
“ทหารไม่ปฎิวัติถ้า….?”
ปฎิเสธไม่ได้ที่การสนทนากับพล.อ.สนธิจะไม่พูดถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ซึ่งนำมาสู่คำถามมากมายว่าเป็นจุดคลี่คลายความขัดแย้งเวลานั้นจริงหรือไม่ หรือเป็นชนวนซ้ำเติมจนปั่นป่วนยุ่งเหยิงถึงในเวลานี้หรือไม่ ซึ่งพล.อ.สนธิ เริ่มต้นว่า “ถ้าไม่ทำในวันนั้นแล้ววันนี้อาจจะยิ่งกว่านี้ก็ได้ แต่ที่แน่ๆวันที่ 20 ก.ย.2549 ไม่มีการฆ่ากัน”
0ถ้าเลือกได้จะยังทำการยึดอำนาจในวันที่ 19 ก.ย.2549 หรือไม่เมื่อเห็นสถานการณ์ตอนนี้
แน่นอนคนถามคำถามนี้มีหลายร้อยที เราจะไปรู้ได้ว่าถ้าเราไม่ทำในวันนั้นแล้ววันนี้อาจจะยิ่งกว่านี้ก็ได้ แต่แน่ๆวันที่ 20ก.ย.2549 ไม่มีการฆ่ากัน การเปลี่ยนถ่ายบ้านเราเป็นการเปลี่ยนถ่ายที่เร็วเกินไป มันยังไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นเลย คนที่มาเป็นรัฐบาลแต่ละท่านจากพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถึงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้แก้เรื่องความขัดแย้ง ไม่ได้แก้เรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ มีรัฐบาลไหนแก้เรื่องความขัดแย้ง นับวันความขัดแย้งจะทวีขึ้นทวีขึ้น ปัญหามันจะจบก็ต่อเมื่อความขัดแย้งจบประเทศเดินหน้าพัฒนาไป
0 มองว่าบทบาทที่ผ่านมาจากการปฏิวัติมีส่วนทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายหรือไม่
เราไปมองแค่นั้นไมได้ ถ้าเราไปมองวันที่19 ก.ย.ต้องมองไปก่อนวันที่19 ก.ย. หรือ ถ้ามองวันที่ 19 ก.ย. มันไม่จบ ถึงบอกว่าอย่าได้ไปมองมัน ถ้าเผื่อเราไปฟื้นฝอยหาตะเข็บไปพูด 19 ก.ย. พล.อ.สนธิปฏิวัติ เป็นคนต้นเรื่องจนถึงบัดนี้ แล้วมันจะไปสร้างความปรองดองอย่างไร ถ้ายังไปเขียนว่า 19 ก.ย.เป็นต้นเหตุอีก ทุกอย่างจบไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเดินไปข้างหน้า
0 เท่ากับว่าการทำรัฐประหารเมื่อปี2549 คือ การรักษาประชาธิปไตย
อย่าเรียกว่าการรัฐประหาร เราเรียกว่าการปฎิรูป บ้านเมืองกำลังวิกฤตน้ำท่วมหลังจากน้ำท่วมจริงๆบ้านมันจะดีขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ทำการปฎิรูปในสิ่งต่างๆมันจะดี แน่นอนว่ามีหลายคนอาจไม่เห็นด้วย การปฎิวัติเกิดขึ้นในหลายๆประเทศ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ถามว่าประเทศเหล่านี้สูญเสียเท่าไหร การปฎิวัตินำพาไปสู่อะไร นำพาไปสู่ประชาธิปไตย
0 แล้วมองว่าหลังการปฎิรูปตามแนวคิดของพล.อ.สนธิดังกล่าวนั้นบ้านเมืองดีขึ้นหรือไม่
ปัญหาดีขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้ปกครองของเรา การเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ขึ้นอยู่กับประชาชนอย่างเดียวขึ้นอยู่กับผู้ปกครองด้วย ดูแล้วกันบางประเทศที่ผ่านมาเช่น ฟิลิปปินส์ ปฎิวัติโดยประชาชนยังมีปัญหาอยู่อย่างที่เห็น หลังจากการปกครองแล้วผู้ปกครองไม่เป็นไปตามกติกาของการเป็นผู้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั้งในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต การรักประเทศ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน มองประเทศก่อนมองตัวเอง
คนที่ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไรทำให้มองว่าการปฎิวัติทำลายประชาธิปไตยเป็นเพียงการมองจุดเดียว แต่ไม่ได้มองภาพรวมของความเป็นประชาธิปไตย
0จริงๆช่วงที่ท่านมีอำนาจเสียดายมั้ยตอนนั้นควรจะทำให้เด็ดขาด
มันไม่ต้องเด็ดขาดหรอกแค่รักษาRule of Lawให้มันดี ทำตามกฎเท่านั้น ไม่ต้องไปทำเผด็จการ ปัญหาบ้านเราไม่ใช่ปัญหาเล็กที่จะแก้แต่เราอย่าไปมองปัญหาเล็กให้มาเป็นอุปสรรคต่อปัญหาใหญ่ ปัญหาทุกปัญหาต้องแก้ไปตามทิศทางของมัน อย่าให้เอาอะไรมาโยงกับอะไร
0 นับจากนี้ไปท่าทีกองทัพจะยังคงมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดทิศทางการเมืองหรือไม่ในฐานะทหารเก่า
ตั้งแต่เราเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)เวลานั้นเราสอนทุกคน เราเป็นนักการทหารไม่ใช่นักการเมือง อย่าเข้าไปยุ่งกับการเมือง บทบาทของเรามีหน้าที่ทำอะไรทำอย่างนั้น อย่าไปยุ่งกับเขา ดังจะเห็นว่าสมัยที่เราเป็นผบ.ทบ. กองทัพกับรัฐบาลไม่ได้อยู่ใกล้กัน แต่ไม่ได้ห่างกัน ช่วงทีผ่านมาใกล้เกินไปหน่อยไหม ผิด การเมืองกับการทหารต้องอยู่คนละที่ แต่ต้องไม่อยู่ไกลกันและไม่อยู่ใกล้กัน
หน้าที่ของการเมืองคือใช้ทหาร หน้าที่ทหารคือสนับสนุนรัฐบาล หน้าที่เขาคือการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ก็ทำของเขาไป หน้าที่อื่นๆ ยาเสพติด ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ก็ทำไป ขณะที่รัฐบาลดูและสั่ง พายุเข้าไปช่วย น้ำท่วมไปช่วย โดย ณ วันนี้ ยังเป็นอย่างนี้อยู่และต้องรักษาระยะห่างตรงนี้ให้ดี รักษาบทบาทของตัวเองให้ดี
0 ที่ผ่านมากองทัพกับรัฐบาลถูกมองว่าอยู่กันคนละฝั่ง
ถามว่าทหารชอบการปฏิวัติ ไม่ชอบ ดังนั้น ผู้ปกครองหรือรัฐบาลต้องเดินบนแนวทางเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เมื่อไม่มีการโกงกินประชาชนก็ไม่สนใจ เพราะฉะนั้น ปัญหาความหวาดระแวงเกิดขึ้นมา80 ปี แล้วบ้านเรามีพิเศษ สมัยสงครามเย็นพวก14 ตุลาฯ พวกนี้เขาจะเกลียดทหาร ที่ติดอยู่ใจ เพราะฉะนั้นโลกประชาธิปไตย ทหารกับนักการเมืองมันรักกัน แต่ต่างคนต่างอยู่ มันไม่ระแวงกัน ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ปัญหาคือการไประแวงกัน ปัญหาที่ผ่านมาปฏิวัติเพราะอะไร ก็เพราะปัญหาเรื่องการปกครองเท่านั้นเอง
0 โอกาสจะเกิดปฏิวัติยังมีอยู่
บอกแล้วไงว่าอยู่ที่การปกครอง เราตอบแค่นี้ คือการปฏิวัติไม่ได้หมายความว่าต้องใช้กำลังทหาร ทางตะวันออกกลางใช้อะไร ประชาชน การปฏิวัติไม่จำเป็นว่าต้องปฏิวัติโดยใคร โดยทหารได้ โดยประชาชนก็ได้ แต่ ณ วันนี้ การปฏิวัติโดยทหาร มันน่าจะไม่มี ถ้ามันไม่มีวิกฤติประชาชนชวนมา
เลิกคิดเรื่องทหารได้แล้ว ณ วันนี้ทุกคนจงมองทหารเหมือนที่ประชาชนกำลังมองอยู่ อย่าไปคิดว่าทหารจะทำนู่นทำนี่ หยุดคิดได้แล้วจะได้เกิดการปรองดอง เพราะทุกคนมาถึงก็ถามว่าปฏิวัติอีกไหม บอกว่าที่ไหนก็ไม่มีใครอยากปฏิวัติหรอก
“อะไรอะไรก็โทษ19กันยาฯ”
หลังจาการสนทนากับอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)มีแต่เรื่องเครียดๆถึงเวลาที่ต้องคุยชีวิตส่วนตัว ณ ตอนนี้กันบ้างภายหลังสวมบทบาของการเป็นผู้แทนราษฎรในนามสส.บัญชีรายชื่อพรรคมาตุภูมิ ซึ่งพล.อ.สนธิ ยอมรับแบบไม่ขัดเขินเลยว่า “3เดือนแรกเป็นสส.ใหม่ๆ ก็อึดอัดหน่อย แต่ตอนนี้ดี อึดอัดเราไม่รู้จักเขา เราไม่รู้จักการเมือง เราไม่รู้จักคน อึดอัดนิดหน่อยในเวลาพูดเขาก็เปรียบเปรย เรื่อง 19 ก.ย.2549แตหลังๆไม่รู้สึกอะไรแล้ว คิดว่าเขาไม่รู้อะไร ปล่อยเขาไป อีกหน่อยเขาก็รู้เอง เหมือนคนโง่อ่านหนังสือเดี๋ยวก็ฉลาด”
0 บาทบาทต่างกันเยอะไหม กับการทำหน้าที่ที่ผ่านมาและเข้ามาเป็นสส.
รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นอย่างนี้ เดินเข้ามานี่รู้หมดทุกอย่างมันต้องเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่เป็นอะไรกลัวอะไร อย่างที่บอก ใหม่ๆ ก็อึดอัดหน่อย แต่ตอนนี้โอเคสนุก สำคัญคือขอให้เราเข้ากับคนในสังคมได้ คือเราไม่รู้ว่าใครอยู่พรรคไหน รู้แค่ 10 % แค่นั้น กินข้าวเราก็นั่งไปเรื่อย คุยไปเรื่อย ตาก็อ่านไม่ออก พรรคไหนไม่รู้ ทานข้าวตรงไหนว่างเราก็นั่งไปเรื่อยๆ คุยไปเรื่อย ในที่สุดมันก็ปกติ
0 ประเมินตัวเองนักการเมืองกับในทฤษฎี
เราประเมินตัวเราไม่ได้หรอก ให้คนอื่นมอง แต่ถามว่าเรารักประเทศไทยไหม อันหนึ่งแหละต้องใช่ สองรักประเทศไทยก่อนไหม แน่นอนล่ะ ไม่อย่างนั้นไม่เอาคอมาพาดเขียงอยู่ตั้งนาน สองความซื่อสัตย์ สุจริต ยอมรับว่าเราไม่ได้รวย เป็นทหารไม่รู้จะเอามาจากไหน คุณลักษณะของเรา เราเป็นนักเรียนเรามีความรู้ ประสบการณ์ การบริหารมาทั้งชีวิต ไม่ใช่เราปกครองคนสิบยี่สิบคน เราปกครองคน 5 แสนคน ซ้ำมีอาวุธ หลักการบริหารเราเป็น การตัดสินใจ วิเคราะห์ คนที่จะเป็นผู้นำประเทศ มันมีหลักการเป็นผู้นำเยอะ ดุษฎีนิพนธ์เราจะทำเรื่อง ลักษณะผู้นำการเมืองไทย
0 วางอนาคตการเมืองต่อจากนี้อย่างไร
ไม่วางแล้ว อายุ 65 แล้ว จะไปคิดอะไรมากมาย ไม่ได้วางอะไรเลย มาสนุกสนาน
0 ทำไมบอกว่าเอาคอมาพาดเขียงแล้วยังมา
เหมือนปฏิรูปเราก็เอาคอไปพาดเขียงไม่ใช่เอามีดไปสับ แต่นี่การเมือง กล่าวหากันไปมา มันเหมือนกับเราเอาคอไปพาดเขียง แต่ถ้ามันสามารถเดินไปได้ก็เป็นบุญของบ้านเมือง ฝากให้เขียนตรงนี้ ถ้าสามารถปรองดองกันได้ถือเป็นบุญของบ้านเมือง ทุกคนต้องหันมาช่วย คิดไม่เหมือนกันไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ต้องทำให้เหมือนกัน


