posttoday

วีรกรรมแดง แรงเกินขีดจำกัด มองอดีตสู่ปัจจุบันสะเทือนยุติธรรม

23 กุมภาพันธ์ 2553

หากย้อนดูวีรรมของกลุ่มคนเสื้อแดง พิเคราะห์ถึงพฤติกรรมที่นำไปสู่ความรุนแรง เทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วอยู่ในระดับมากกว่าความต้องการความสงบอย่างแท้จริง

หากย้อนดูวีรรมของกลุ่มคนเสื้อแดง พิเคราะห์ถึงพฤติกรรมที่นำไปสู่ความรุนแรง เทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วอยู่ในระดับมากกว่าความต้องการความสงบอย่างแท้จริง

โดย....ธรรมสถิตย์  ผลแก้ว

อาจกล่าวได้ว่า สถานการณ์บ้านเมืองต้องติดตามวันต่อวัน เพราะไม่อาจล่วงรู้จะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น  แต่ในระยะใกล้จะถึงนี้กับ “บิ๊กนิวส์” วันตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.พ. พอจะเบาใจระดับหนึ่งว่าจะไม่ส่อไปสู่ความรุนแรง   เพราะทั้งข้อมูลฝ่ายความมั่นคงสอดคล้องกับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศจะไม่ชุมนุมใหญ่วันที่ 26 ก.พ. แต่หลังจากนั้นต้องติดตามตอนต่อไป

ถึงกระนั้น ไม่ใช่ว่าจะไว้วางใจได้เสียทีเดียว เนื่องจากสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข้มเช่นนี้  ย่อมมีแฟนคลับพ.ต.ท.ทักษิณ จำนวนหนึ่ง ต้องการไปสัมผัสบรรยากาศใกล้ชิด ร่วมลุ้นนั่งฟังผลการพิพากษาอยู่บริเวณรอบศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  เหมือนอย่างที่ฝ่ายตำรวจสันติบาลประเมินว่าน่าจะมีมวลชนเสื้อแดงประมาณ 1000- 2,000  คน มาชุมนุมที่หน้าศาลฯ

วีรกรรมแดง แรงเกินขีดจำกัด มองอดีตสู่ปัจจุบันสะเทือนยุติธรรม

ไม่ว่าจะจำนวนมากหรือจำนวนน้อย เมื่อผลการตัดสินออกมาทางใด  อาจเร่งเร้าเผาอารมณ์ผู้คนให้แสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง   จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงไม่ประมาทด้วยการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้นตลอด 24 ชั่วโมง

หากย้อนดูวีรรมของกลุ่มคนเสื้อแดง พิเคราะห์ถึงพฤติกรรมที่นำไปสู่ความรุนแรง เทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วอยู่ในระดับมากกว่าความต้องการความสงบอย่างแท้จริง

ไล่เรียงจากความรุนแรงระดับติดดาว ตั้งแต่ปี 2549   ฮือปิดล้อมหอประชุมอาคารเฉลิมพระเกียรติ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎ จ.อุดรธานี  หมายเอาชีวิตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มาร่วมเสวนา     ลุกลามต่อเนื่องเป็นการไล่ล่าเอาชีวิต ถึงขนาดเกิดเหตุการณ์สังหารแกนนำเสื้อเหลือง ที่จ.เชียงใหม่    จุดระเบิดอารมณ์กระเด็นออกมาด้วยการบุกไปทุบทำลายบ้านสี่เสาเทเวศน์ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ   สร้างความเสียหายให้กับชุมชนย่านสี่เสาเทเวศน์   ความรุนแรงไม่ได้ลดระดับลงแม้แต่น้อย ด้วยการบุกไปทุบทำลายโรงแรมที่จัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนซัมมิท พัทยา  จ.ชลบุรี  ทวีความร้อนแรงสู่เหตุการณ์เมษาเดือด ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย เลขาธิการนายกฯ    หมายเอาชีวิตนายกรัฐมนตรีที่กระทรวงมหาดไทย

นั่นเป็นอารมณ์เดือดที่ถูกระบายออกมาผ่าน การปลุกระดมจากแกนนำ โดยมีเป้าหมายที่บุคคลฝ่ายบริหาร บุคคลระดับองคมนตรี

แต่เมื่อโฟกัสไปถึงวีรกรรมความรุนแรงที่กระทำต่อกระบวนการยุติธรรม องค์กรศาล ที่เปรียบได้เป็นเสาหลักสำคัญของบ้านเมืองในการผดุงความยุติธรรม ที่ทุกฝ่ายควรให้ความเคารพ นับถือ  และมิบังควรสร้างความรุนแรงกดดัน แต่ปรากฎว่า มวลชนเสื้อแดงสำแดงพลังต่อองค์กรเหล่านี้โดยมิได้ยำเกรง  

แม้พ.ต.ท.ทักษิณจะอ้างเสมอมาว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างสันติ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็ต้องเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับคำกล่าวอ้าง

ถ้าจำกันได้ ในครั้งคดีซุกหุ้น 1   เหตุคุกรุ่นเริ่มมีมาตั้งแต่การพิจารณาคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) มวลชนเสื้อแดงกดดันข่มขู่ จนกระทั่งคุณหญิงปรียา เกษมสันต์ ณ อยุธยา ต้องประกาศลาออก เมื่อ

ถึงวันตัดสิน ออกมาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ซุกหุ้น ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สร้างความไม่พอใจให้มวลชนรักทักษิณซึ่งแปรสภาพเป็นมวลชนเสื้อแดงในเวลาต่อมา  ปิดล้อมทางออกสำนักงานป.ป.ช.  ครั้งนั้นมาตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญยังหละหลวม ส่งผลให้ รถยนต์ ปปช.ทุกทุบทำลายจากน้ำมือมวลชนเสื้อแดง เรียกว่า กว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะหลุดออกไปจากสำนักงานได้เกือบเอาชีวิตไม่รอด

ครั้นคดีซุกหุ้น1  เข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ   เป็นไปตามคาด มวลชนคนรักทักษิณ เดินทางไปกดดันศาล แต่ผลพลิกผันทักษิณรอดคดี  มวลชนพอใจ ไม่มีเหตุร้าย แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามไม่รู้ว่าสภาพศาลรรัฐธรรมนูญจะเป็นเช่นเดียวกับ ป.ป.ช.หรือไม่

ทิ้งระยะมาถึงการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย มีการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงเดินทางไปลุ้นผลการตัดสินเช่นกัน  แต่การอ่านคำพิพากษาลากยาวถึงค่ำ ทำให้มวลชนเสื้อแดงอ่อนแรง รอดนาทีวิกฤติไปได้แต่แล้วในการพิจารณายุบพรรคพลังประชาชน คราวนั้น  มวลชนเสื้อแดงรวมตัวหนาแน่นขึ้น เป็นผลจากการโหมของแกนนำในพื้นที่ต่างจังหวัด ถึงขั้นต้องการล้มกระบวนการพิจารณา มีการระดมพลเพื่อไปปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ ส่งสัญญาณว่าสถานการณ์จะบานปลาย และมีแนวโน้มจะไม่ได้ตัดสินคดีวันนั้น

ทำให้ฝ่ายรัฐ ทหาร และองค์กรศาล ต้องใช้ปฏิบัติการลับ ลวง พราง   ใช้แผนปิดลับอารักขาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  ด้วยการจัดหน่วยคอมมานโด อาวุธครบมือ สะพายปืนเอ็มสิบหก พกระเบิดมือ  เคลื่อนที่เร็วพาตุลาการทั้งหมดไปอ่านคำพิพากษาที่สำนักงานศาลปกครอง แจ้งวัฒนะ   กว่ามวลชนเสื้อแดงไหวตัวทัน ปรากฎว่า ตุลาการทั้งหมดถูกพาตัวขึ้นไปนั่งบัลลังก์ที่ศาลปกครองเรียบร้อยแล้ว  แต่มวลชนเสื้อแดงไม่ละพยายาม นำกำลังไปล้อมอาคารศาลปกครองอีก จนครั้งนั้นส่อความรุนแรงถึงขั้นจะทุบกระจกบุกเข้าไปภายใน   ต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารคุ้มกันเข้ม ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องอ่านคำพิพากษาด้วยความรวดเร็วเพราะส่วนหนึ่งถูกดดันจากมวลชนที่อยู่ด้านล่าง เมื่ออ่านคำพิพากษาเสร็จถูกอารักขาพาตัวออกจากสำนักงานศาลปกครองราวกับนินจาหายตัว

และอีกไม่ช้านี้   การอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์จะเกิดขึ้น ถึงแม้ท่าทีศาลฏีกาฯยืนยันออกมาแล้วว่าจะไม่ย้ายหนีไปไหน  จะปักหลักอ่านคำพิพากษาที่นี่เท่านั้น  ว่ากันว่าหลักมั่นของศาลถูกถ่ายทอดกันมา   ในเมื่อศาลเป็นองค์กรพึ่งหวังของประชาชน เป็นเสาหลักค้ำของบ้านเมืองที่ผดุงความเป็นธรรม  จึงต้องมีหลักมั่นในการทำงาน  ถ้าหนีเท่ากับต้องหนีตลอดไป หนีตลอดชีวิต   นั่นเป็นแง่คิดมีนัยยะสำคัญที่ส่งผ่านมาจากตุลาการชั้นผู้ใหญ่

ในจังหวะที่มองกันว่าการอ่านคำพิพากษาวันที่ 26 ก.พ. ไร้เหตุร้าย  แต่จากวีรกรรมการสะสมไมล์ความรุนแรงของชาวเสื้อแดงที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม  เป็นบทเรียนเตือนปัจจุบัน มิควรประมาทได้เลย  ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะแม้แต่กระบวนการยุติธรรม  ก็ยังไม่เว้น