น้ำลดยิ่งลักษณ์งานเข้า
สภาพน้ำเหนือน้ำหนุนน้ำทุ่งน้ำท่อ ประดังประเดเข้ามาซ้ำเติมวิกฤตการบริหารจัดการแก้ปัญหา “น้ำท่วม”
สภาพน้ำเหนือน้ำหนุนน้ำทุ่งน้ำท่อ ประดังประเดเข้ามาซ้ำเติมวิกฤตการบริหารจัดการแก้ปัญหา “น้ำท่วม”
จนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้รับผิดชอบนำพาประเทศฝ่าวิกฤตต้องสะบักสะบอมกับการไล่แก้ปัญหาสุมอกครั้งนี้
เดิมจากจุดเริ่มต้นที่พยายามลดแรงเสียดที่จะส่งตรงถึง “นายกฯปู” นำมาสู่การแบ่งอำนาจหน้าที่กระจายความรับผิดชอบไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) ที่มี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน หรือมอบให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)
ยังไม่รวมบรรดาทีมที่ปรึกษาจากบ้านเลขที่ 111 ที่เข้าเสริมทัพนำประสบการณ์ลูกเก๋าต่างๆ มาช่วยดูแลสถานการณ์ที่ถูกโจมตีอย่างหนักในช่วงแรก
ทว่าในระยะหลังอำนาจการตัดสินใจแทบทุกเรื่องถูกดึงกลับมารวมศูนย์ที่ “ยิ่งลักษณ์” อำนาจบทบาทของ ยงยุทธ พล.ต.อ.ประชา และคนอื่นๆ เริ่มลดหายลงไป? สมาชิกบ้านเลขที่ 111 บางส่วนต้องถอยทัพกลับไป ยังเหลืออยู่หลักๆ แค่ จาตุรนต์ ฉายแสง ภูมิธรรม เวชยชัย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
อีกด้านหนึ่งสภาพความขัดแย้งแย่งซีนระหว่าง กทม. และรัฐบาล ที่รัฐบาลตัดสินใจแก้เกมงัดไม้ตาย ใช้มาตรา 31 พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าไปดูแลพื้นที่สั่งการ กทม. แต่เมื่อสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น ผลย้อนกลับจึงมาตกที่รัฐบาล
เวลานี้แรงเสียดทานทั้งหมดเวลานี้จึงย้อนกลับมาลงที่ “ยิ่งลักษณ์” กับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหาน้ำท่วม
แม้เอแบคโพลล์ล่าสุด ประชาชน 61.9% ยังให้โอกาส “ยิ่งลักษณ์” แก้ไขปัญหาภัยพิบัติต่อไป แต่ในรายละเอียดที่สะท้อนผ่าน ความรู้สึกของกลุ่มตัวอย่าง เช่น 77.4% ยังเบื่อหน่าย เครียด และวิตกกังวล เป็นทุกข์ 76.9% ไม่สะดวกในการเดนทาง 66.8% ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 58.5% อาหาร น้ำสะอาด ยา ไม่พอ ล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพ
รวมทั้งยังมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องการให้นายกฯ ลงไปแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงการทำงานของตำรวจ ไฟฟ้า น้ำประปา ต้องการให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างทั่วถึง ไม่เลือกปฏิบัติ ต้องการให้แก้ปัญหาของแพงที่ขาดตลาด รวมทั้งจับกุมมิจฉาชีพ
ไล่ย้อนดูการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ศปภ.แทนที่จะอาศัยจุดเด่นของการบูรณาการทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมฟันฝ่าวิกฤตที่น่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นปัญหา “เอกภาพ” ภายใน จนสร้างความสับสนในสังคมและฉุดให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไป
จากคะแนนเต็ม 10 ศปภ.สอบตกอย่างแรง ได้คะแนนเพียง 3.36 คะแนน ประชาชน 89.3% รู้สึกสับสนกับข้อมูลที่ได้รับจาก ศปภ. และ 87.2% ไม่วางใจเชื่อถือข้อมูลน้ำท่วมจาก ศปภ.
นำมาสู่การยกเครื่องครั้งใหญ่ ปรับเปลี่ยนโฆษก ศปภ. ด้วยการลดบทบาท วิม รุ่งวัฒนจิน…ดา มาเป็น ธงทอง จันทรางศุ รวมทั้งดึงนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ทีเกี่ยวข้องเข้ามาเสริมทีมชี้แจง ไปจนถึงเนื้อหาสาระที่จะแถลงจะต้องผ่านการกลั่นนกรองรายละเอียดอย่างดี
อีกปัจจัยสำคัญฉุดความน่าเชื่อถือ คือการตัดสินใจเลือกสนามบินดอนเมืองเป็นที่ตั้ง ศปภ. พร้อมประเมินว่าจะไม่ถูกน้ำท่วม ด้วยความเชื่อว่าเป็นที่ดอนและการบริหารจัดการรับมือกับน้ำท่วมไม่น่าจะลุกลามมาไกลขนาดนี้
ถึงขั้นทีมงานเจ้าหน้าที่ต้องกัดฟันทนลุยน้ำเข้าออก ศปภ.ดอนเมืองอยู่หลายวันกับสภาพน้ำที่ไล่กระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ จนท่วมเต็มพื้นที่ สุดท้ายต้องยอมย้ายฐานที่มั่นมาปักหลักที่กระทรวงพลังงาน
เหลือไว้แต่สภาพของบริจาคจำนวนหนึ่งที่กระจัดกระจายลอยเกลื่อนพื้นที่อาคาร ตอกย้ำข้อครหาถึงศักยภาพการบริหารดำเนินการของบริจาคที่ถูกโจมตีก่อนหน้านี้ ทั้งความล่าช้า ไม่ทั่วถึง ไปจนถึงเรื่องการเข้ามามีอำนาจสิทธิพิเศษของเสื้อแดงที่เข้าถึงของบริจาค
ยิ่งหากดูในรายละเอียดมาตรการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมา ดูจะเป็นเพียงแค่การตั้งรับคอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และหลายต่อหลายครั้งไม่ทันต่อเหตุการณ์และไม่มีความชัดเจน
ตัวอย่างเช่น ทางเลือกใหม่ที่เสนอให้มีการเจาะถนน 5 สายเพื่อเร่งระบายน้ำ ที่ยังเป็นที่ถกเถียงถึงความคุ้มค่าและผลที่จะได้รับ จนสุดท้ายก็ยังไม่อาจฟันธงว่าจะทำไม่ทำอย่างไรหรือไม่ เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำทำลายความน่าเชื่อถือที่มีต่อรัฐบาล
ในส่วนของนายกฯ ยิ่งลักษณ์เอง หลายต่อหลายครั้งที่การชี้แจงในเรื่องแนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วมกลับให้ข้อมูลที่ผิดพลาด ทั้ง เนื้อหาและถ้อยคำที่ฉุดให้ความน่าเชื่อถือในตัวผู้นำถดถอยขึ้นเรื่อยๆ
อย่างกรณี การเพิ่งส่งสัญญาณเตรียมอพยพครั้งใหญ่ในช่วงวันที่ 27-31 ต.ค. รับมือกับช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงสุด ซึ่งอาจจะนำไปสู่น้ำล้นทะลักคันกั้น หรืออาจส่งผลร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้คันกั้นน้ำเสียหายทะลักเข้ามาในพื้นที่ กทม. ในขณะที่อีกด้านหนึ่งบอกว่าสถาการณ์กำลังดีขึ้น
มาตรการรับมือแต่ละด้านทั้งการขาดแคลน สินค้าอุปโภค บริโภคของแพง ของขาดตลาดที่รัฐบาลยังล้มเหลว ไปจนถึงมาตรการเฝ้าระวังมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้าไปซ้ำเติมสถานการณ์ช่วงนี้
ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้มีแต่จะฉุดภาวะผู้นำของ “ยิ่งลักษณ์” จมดิ่งอยู่กับปัญหาน้ำท่วมจนเข้าขั้น “โคม่า”
ทว่าที่หนักอึ้งยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา คือ ภารกิจการ “ฟื้นฟู” บูรณะประเทศหลังน้ำลด ที่รัฐบาลจะทุ่มงบประมาณ 6-8 แสนล้านบาท ภายใต้โครง “นิวไทยแลนด์” ซึ่งไม่รู้ว่านายกฯ หญิง จะยืนระยะฝ่าแรงเสียดทานอยู่รอดปลอดภัยถึงตอนนั้นหรือไม่ แต่ทั้งหมดหลังน้ำลด งานเข้า “ยิ่งลักษณ์” เต็มๆ


