สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ”
เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 60 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม (สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา) เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2408 ณ พระบรมมหาราชวัง ทรงเป็นอนุชาในพระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงษ์ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี และเป็นพระบิดาในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 ด้วย
พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในพระบรมมหาราชวังในวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิชาคำนวณ และวิชาประกอบอื่นๆ เหมือนอย่างเจ้านายทุกพระองค์ในสมัยนั้น หลังจากที่ลาสิกขาบทจากสามเณรแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปศึกษายังประเทศอังกฤษภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปี 2423 ทรงเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่สำนักเบลเลียล (Balliol College) แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ทรงศึกษามีความรู้ประมาณชั้นกลางๆ ก็มีพระบรมราชโองการให้เรียกกลับ เนื่องจากรัฐบาลสยามมีความต้องการคนสมัยใหม่ที่มีการศึกษาระดับสูงกลับไปพัฒนาประเทศโดยเร็ว แม้พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณจะทรงเป็นนักเรียนทุนส่วนพระองค์ ก็อยู่ในข่ายที่จะต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการเช่นกัน โดยได้เสด็จกลับสยามในปี 2429 รวมเวลาที่ทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ 6 ปี
เมื่อเสด็จกลับมายังประเทศสยามนั้นทรงมีพระชันษา 21 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศึกษาระเบียบธรรมเนียมประเพณีทางราชการและกฎหมายไทย พระองค์ก็ได้ทรงเพียรพยายามศึกษาด้วยความสนพระทัยยิ่ง ทรงนำกฎหมายไทยมาเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายของประเทศอังกฤษ เป็นเหตุให้ทรงเปลี่ยนแนวโน้มทางความคิดเห็นและทัศนคติมาเป็นแบบไทยมากขึ้น เมื่อทรงค้นคว้ากฎหมายไทยไปได้ระยะหนึ่ง ก็ทรงมีความรู้ทางกฎหมายไทยดีขึ้นเป็นลำดับ พระองค์จึงมักจะวางพระองค์ และมีความคิดเห็นอย่างนักนิติศาสตร์ หรือมีความคิดอย่างนักกฎหมาย ในขณะเดียวกันก็ทรงศึกษากฎหมายไปด้วย
เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางว่า ระหว่างที่พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณยังประทับอยู่ในประเทศอังกฤษนั้น ทรงมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษดีมาก มีผู้กล่าวว่า ตรัสภาษาอังกฤษได้ชัดเจนเหมือนฝรั่ง ทรงเป็นผู้ขยันหมั่นเพียรกว้างขวางในทางสังคม ทรงมีความรู้หลักแหลมในทางวิชาการ ทรงสันทัดในภาษาอังกฤษและวิชากฎหมายมากเป็นพิเศษ ในวงสนทนาต่างๆ จึงมักมีผู้ได้ยินพระองค์รับสั่งอ้างอิงหลักกฎหมายอยู่เป็นนิจ ด้วยพระปรีชาสามารถและความปราดเปรื่อง เป็นเหตุให้ได้ทรงร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานสำคัญของชาติมากมาย เช่น ทรงร่วมกับเจ้านายและข้าราชการสำคัญในสถานทูตไทยในประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส กราบบังคมทูลเสนอแนะให้มีการแก้ไขราชการแผ่นดิน ในปี 2427 (รศ.130) เนื้อหาในข้อเสนอแนะมีความยืดยาวละเอียดพิสดารหลายสิบหน้า เต็มไปด้วยเหตุผลและความเป็นมา ข้อพึงปฏิบัติและพึงแก้ไขโดยสรุปเสนอว่า ควรปฏิรูปการปกครองของสยามประเทศเป็นแบบคอนสติติวชัน ตามบันทึกของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ซึ่งทรงกล่าวว่าได้ปรึกษาเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน ก็ได้ทรงรับเองว่าเป็นความคิดเห็นของพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณมากข้อ เมื่อรวบรวมเรียบเรียงคำกราบบังคมทูลแล้ว พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณยังได้ทรงร่วมแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมข้อความต่างๆ ซึ่งหากศึกษาเนื้อความในหนังสือกราบบังคมทูลโดยละเอียดแล้ว จะพบข้อคิดเห็นเรื่องผลบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ การยกเลิก แก้ไข ตั้งขึ้นใหม่ในเรื่องบทบังคับกฎหมายในสยามประเทศ การเปลี่ยนแปลงแบบธรรมเนียมการปกครองเป็นคอนสติติวชันด้วย ซึ่งในบรรดาผู้ลงพระนามและนามในหนังสือกราบบังคมทูลทั้งหมดนั้น คงมีผู้ศึกษาวิชานิติศาสตร์โดยตรงก็เพียงแต่พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณพระองค์เดียวเท่านั้น
เมื่อพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณกลับมาถึงประเทศสยามแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงผนวชเป็นนาคหลวงครองบรรพชิตเป็นพระภิกษุอยู่ ณ วัดราชาธิวาส เป็นที่ปลื้มปีติในพระบรมวงศานุวงศ์ในขณะนั้นมากโดย สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงรับอุปถัมภ์ระหว่างที่ทรงผนวชตลอดพรรษา
เมื่อลาสิกขาบทแล้ว ก็ทรงเข้ารับราชการ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกอมมิตตี กรมพระนครบาล มีอำนาจอย่างเสนาบดี งานของกรมพระนครบาลก็คือ งานปกครองท้องถิ่นในเขตนครหลวง ทรงเป็นตุลาการศาลพระนครบาลด้วย เนื่องจากได้ทรงศึกษาวิชากฎหมายมีความรอบรู้มาอย่างดีแล้ว จึงเป็นที่ปรากฏว่า ตลอดระยะเวลาที่ทรงเป็นกอมมิตตีนั้น ได้ทรงพิจารณาคดีเป็นที่พอใจแก่คู่ความเป็นอันมาก ทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณในด้านรักษาความยุติธรรมของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ เป็นที่พอพระราชหฤทัยและทรงเชื่อมั่นว่า พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ ทรงเป็นผู้ที่สมควรกับการที่จะเป็นผู้จัดราชการศาลยุติธรรมแผนใหม่ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณร่างแผนงานจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งการด้วยพระราชหัตถเลขาเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2434 ความว่า
ถึงสวัสดิโสภณ
ด้วยจดหมายเป็นความเห็นในการที่จะรวบรวมคดีทั้งปวงมาพิจารณาในศาลสถิตยุติธรรมนั้น ตรวจดูตลอดแล้วเห็นว่าที่คิดมานั้นเป็นอันได้สั่งให้ออกประกาศแล้ว (งบประมาณมีอนุญาตแล้ว) แลตัวผู้ทำการในกระทรวงนี้ให้เธอเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม กรมหมื่นศรีชัชสังกาศเป็นผู้พิพากษาศาลยุติธรรมคดีหลวง หม่อมเจ้าขาวเป็นผู้พิจารณาศาลยุติธรรมคดีราษฎร์ พระนรเนติบัญชากิจเป็นผู้พิพากษาศาลพระราชอาญา พระอภิบาลประเพณีเป็นผู้พิพากษาศาลแพ่งเกษม แต่เวลานี้ให้หลวงดำรงธรรมสารแทนไปก่อน หลวงธรรมศาสตร์ เป็นผู้พิพากษาศาลแพ่งกลาง พระศรีรัษฎานกูลกิจเป็นผู้พิพากษาศาลสรรพากร พระสุจริตวินิจฉัยเป็นผู้พิพากษาศาลต่างประเทศ ให้เธอจัดการไปตามนี้เถิด
พระบรมนามาภิไธย (สยามมินทร์)
พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณทรงรับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมในวันที่ 1 เม.ย. 2435 อยู่ไปได้ 2 ปี ก็เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ในปี 2436 (รศ.112) ซึ่งกระทบกระเทือนต่อเอกราชของชาติไทยในขณะนั้นเป็นอันมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณเสด็จไปราชการทางยุโรปหลายประเทศ อันเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ จึงได้กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงยุติธรรม ได้รับสถาปนาเป็น กรมหมื่นสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ ในปี 2441
ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งอธิบดีศาลฎีกาเป็นพระองค์แรก ในยุคของการปรับปรุงระบบแผนงานศาลยุติธรรมใหม่ ในวันที่ 11 เม.ย. 2455 ถึงวันที่ 31 ส.ค. 2461 ทรงได้รับการสถาปนาขึ้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ เมื่อปี 2456 และเลื่อนเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ ในเวลาต่อมา
จนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระเกียรติยศชั้นเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ ในปี 2468 ทรงรับราชการตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้อำนวยการพระคลังข้างที่
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ ได้เสด็จฯ ไปประทับที่ปีนัง จนสิ้นพระชนม์เมื่อปี 2478 มีพระชนมายุได้ 70 พรรษา ทรงเป็นต้นราชสกุลสวัสดิวัตน์ ทรงมีทายาทรุ่นหลานที่มีชื่อเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบันคือ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ม.ร.ว.ประเดิมสวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ และ ม.ร.ว.ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์


