ทักษิณต้องมาก่อน
ห่างไกลกับสโลแกน “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน” อย่างสิ้นเชิง
โดย...ทีมข่าวการเมือง
ห่างไกลกับสโลแกน “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน” อย่างสิ้นเชิง เมื่อผลงานที่เป็นรูปธรรมภายใต้การบริหารของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันนี้ที่ยังไม่เห็นความแปลกใหม่ แถมยังวนเวียนอยู่แค่เรื่องของคนคนเดียว
แทบทุก “องคาพยพ” ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ครม.ที่เข้าไปขับเคลื่อนกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เรื่อยมาจนถึงการทำงานในฝ่ายนิติบัญญัติของพรรคเพื่อไทย ไปจนถึงการเคลื่อนไหวคู่ขนานจากฝั่งมวลชนคนเสื้อแดง ดูจะมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว
เริ่มตั้งแต่กระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีป้ายแดง ออกตัวสร้างผลงานเร่งด่วนตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้ากระทรวงอย่างเป็นทางการ แต่ติดต่อประสานทางการญี่ปุ่นให้ช่วยออกวีซ่าเป็นการพิเศษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าร่วมดูงานในพื้นที่สึนามิจนเป็นประเด็นถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อมา
ทั้งที่ภารกิจเร่งด่วนรอสะสางของกระทรวงการต่างประเทศมีอยู่มากมายหลายเรื่อง เช่น การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะไทยกัมพูชา ซึ่งยังอึมครึมในเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทั้งบนบกและทะเลที่รอการคลี่คลาย
ท่าทีต่อมาของ “สุรพงษ์” ยังประกาศว่าจะไม่ทำเรื่องขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะนักโทษหลบหนีคดีจากรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งได้รับเชิญไปบรรยายพิเศษที่กัมพูชา พร้อมดวลวงสวิงออกรอบกับเพื่อนเก่าอย่างฮุนเซนด้วย กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยเพราะไม่มีหน้าที่
ตอกย้ำตามมาที่กระทรวงยุติธรรม ภายใต้การบริหารงานของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ประเดิมงานใหญ่ “ปัดฝุ่น” การยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ของกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 3 ล้านรายชื่อ ขึ้นมาพิจารณาหลังจากที่ถูกดองไว้นานในช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์
“เงื่อนไข” ที่เป็นอุปสรรคขวางทางการ “อภัยโทษ” คือ สถานะนักโทษหลบหนีคดีที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการรับโทษ หรือผู้ยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษจาก 2 ล้านคน ที่มีตัวตนจริงมีเพียง 2 คน ที่เกี่ยวพันแต่ยังเป็นแค่ญาติห่างๆ ทำให้กระบวนการต้องสะดุดหยุดลงชั่วคราว
นั่นทำให้ต้องจับตาไปที่คณะทำงานกลั่นกรองตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งมี วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นประธาน ซึ่ง พล.ต.อ.ประชา ตั้งขึ้นมา
ทั้งที่ผลสรุปของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ออกมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วและเสนอไปยัง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม คนก่อน ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. 2554 โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งอ้างธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมา ไม่เคยมีการทำเรื่องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษในส่วนของนักโทษหลบหนีคดีแต่อย่างไร ตอกย้ำให้ทุกอย่างเคลื่อนต่อไปได้ยากขึ้น
ไม่แปลกที่คณะกรรมการชุดนี้จะถูกมองว่าเข้ามาเพื่อสลายทางตันต่างๆ ยิ่งส่องดูหน้าค่าตากรรมการแต่ละคน ทั้ง “จุมพล ณ สงขลา”อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดคดีซุกหุ้น “ธงทอง จันทรางศุ” เลขาธิการสภาการศึกษา “นัทธี จิตสว่าง” อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยิ่งเห็นทิศทางผลที่จะออกมาไม่ยาก
จิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่ทำให้ภาพทุกอย่างเริ่มชัดเจนมากขึ้นคือ แนวคิดฟื้น “คุกนักโทษการเมือง” กลับขึ้นมาใหม่ หลังจาก พล.ต.อ.ประชา เรียกประชุมกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ชาติชาย สุทธิกลม อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ไม่น่าจะใช่เรื่องเร่งด่วนแต่อย่างไร
ทุกอย่างดูสอดรับกันไปหมดในช่วงเวลาไม่ถึงเดือนหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าบริหารงาน
ยังไม่รวมกับการโยกย้ายข้าราชการล็อตล่าสุด ซึ่งเด้ง ชาติชาย สุทธิกลม พ้นกรมคุกแบบไม่เรียกตัว พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย จากผู้ตรวจฯ กระทรวงไอซีทีมารับงานใหญ่ต่อจากนี้
ชัดเจนว่าฝีไม้ลายมือ พ.ต.อ.สุชาติ ที่เคยเป็นผู้ขยายผลจากคดีเงินบริจาคของบริษัท ทีพีไอ มาสู่คดียุบพรรคประชาธิปัตย์หรือในคดีทุจริตจัดซื้อเรือและรถดับเพลิง จนคืบหน้าไปสู่การชี้มูลความผิด ย่อมรับประกันผลงานได้เป็นอย่างดี
ไม่ต่างจากท่าที ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่จ้องปลด พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี พ้นเก้าอี้ ผบ.ตร. เปิดทาง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ดามาพงศ์ พี่ชายอดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นคุม สตช.
ทว่า เก้าอี้ ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.วิเชียร กลับยังไม่สั่นคลอนง่ายๆ นำมาสู่การโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หน่วยงานภายใต้การกำกับของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ อันดับ 3 ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ เปิดทางโยกย้าย พล.ต.อ.วิเชียร
สอดรับต่อไปถึงการปูนบำเหน็จคนเสื้อแดงที่ต้องพลาดเก้าอี้รัฐมนตรีเที่ยวที่แล้ว งานนี้ได้รับคำสั่งสายตรงจากต่างแดนให้สมนาคุณคนเสื้อแดงไปประจำตำแหน่งที่ปรึกษาเลขาฯ แบบไม่สนใจภาพลักษณ์หรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ไปจนถึงการจัดวางขุมกำลังในกระทรวงการคลังที่ดึงมือไม้สายตรงเข้ามาทำงานกับภารกิจร้อนๆ อีกมากมายในอนาคตไม่ว่าจะเป็น เบญจา หลุยเจริญ คนสายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้าก้าวขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต หรือ สมชาย พูลสวัสดิ์ คนสนิท บรรณพจน์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมศุลกากร
ประเมินแล้วหลังจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อ 23 ส.ค. เริ่มต้นการทำงานอย่างเป็นทางการในฐานะนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทยทุกอย่างยังห่างไกลสโลแกนหาเสียง “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน” แบบไม่เห็นฝุ่น
นโยบายหวือหวาที่เรียกคะแนนเสียงถล่มทลาย 15 ล้านเสียง ต่างๆ ถูกพลิกพลิ้ว จนหลายโครงการต้องพับเก็บไว้ด้วยเงื่อนไขนู่นนี่นั่น ทั้งที่เคยยืนยันตอนหาเสียงว่าทุกนโยบายทำได้จริง
ทั้งเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เรื่องเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท เรื่องแจกแท็บเล็ตนักเรียน ไปจนถึงเรื่องเร่งด่วนอย่างปัญหาน้ำท่วม 26 จังหวัด 165 อำเภอ มีผู้เสียชีวิต 102 คน พื้นที่การเกษตร 4 ล้านไร่ เสียหาย ที่ล่าช้าไร้ความชัดเจนต่างจากเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากทิศทางจะชัดเจนแล้วยังคืบหน้าไปมาก
ทำให้ต้องคิดย้อนไปถึงสโลแกนดั้งเดิมของเพื่อไทยที่ว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ส่วนจะคิดจะทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์ของใคร...ตอนนี้ก็คงเริ่มเห็นกันแล้วว่า ชัดเจนจริงๆ !!!


