posttoday

มุมที่แตกต่าง..อภัยโทษทักษิณ

07 กันยายน 2554

กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ผุดประเด็น “ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”

กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ผุดประเด็น “ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”

ขึ้นมา อธิบายว่าสามารถนำรายชื่อที่รวบรวมไว้ตั้งแต่ปี 2552 ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามหรือระบุว่า จะต้องติดคุกก่อน และเป็นเรื่องพระราชอำนาจ

ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อธิบายว่า การยกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2550 มาระบุว่าการจะขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องรับโทษก่อนนั้น ว่าถ้าคนอ่านกฎหมายไม่หมดก็จะแสดงความเห็นสับสน แต่โชคดีอ่านกฎหมายหมดรู้ดีว่าไม่มีข้อห้ามที่อ้าง พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มาตรา 4 และมาตรา 5 เป็นกรณีเฉพาะราย ที่ขอเนื่องในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา จึงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ตกทุกข์ได้ยากจึงออกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายกรณี ไม่ใช่กรณีเหมารวม

ขณะที่นักวิชาการด้านกฎหมายหลายคนมองว่าการออกมาพูดดังกล่าวของ ร.ต.อ.เฉลิม น่าจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น มีข้อกฎหมายมากมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่จะอ้างพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2550 ตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อ้างเพียงอย่างเดียว

 

มุมที่แตกต่าง..อภัยโทษทักษิณ

ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า ตามกฎหมายอาจจะทำได้จริง เพราะมาตรา 259 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา บอกว่าทำได้แม้จะอยู่นอกเรือนจำ โดยระบุไว้เพียงว่าคดีต้องถึงที่สุดเท่านั้น ไม่ได้ระบุให้ต้อง “รับโทษ” แต่ที่ผ่านมานักกฎหมายได้ตีความมาตลอดว่าคดีถึงที่สุด หมายรวมถึง “การรับโทษ” ด้วย จนกลายเป็นบรรทัดฐานให้การขอพระราชทานอภัยโทษต้องเกิดจากคนที่รับโทษในเรือนจำมาก่อน

“มันเหมือนกับเราขับรถไปเฉี่ยวเขา แล้วบอก ว่าจบๆ กันไปนะ ไม่เอาความนะ แต่สุดท้ายแล้วมีความผิดไหม ความผิดก็ยังมีอยู่ หลักฐานก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ทำให้เรื่องจบลงไปเท่านั้น” ทวีเกียรติ กล่าว

สำหรับผลกระทบหากมีการขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ทวีเกียรติ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ 1.การขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ “พ.ต.ท.ทักษิณ” นั้น อาจทำลายระบบนิติธรรมด้วยการทำลายหลักการของพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ มาตรา 4 ที่ระบุชัดว่าการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น ผู้ที่ขอจะต้องรับโทษก่อน ซึ่ง “พ.ต.ท.ทักษิณ” ไม่เคยรับโทษ และยังใช้ชีวิตตามปกติอยู่ในต่างประเทศ ส่วนประเด็นที่ 2 ก็คือ ทำลายภาพของความพยายามจัดการกับคดี “คอร์รัปชัน” เพราะคดีการซื้อที่ดินรัชดาฯ นั้น มีการตัดสินอย่างชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดจริง แต่รัฐบาลนี้เลือกที่จะขอพระราชทานอภัยโทษให้

“หากมีการขอพระราชทานอภัยโทษจริง ก็จะเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า ถ้ามีนักการเมืองคอร์รัปชันอีก ก็สามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้ โดยที่ไม่ต้องรับโทษแต่อย่างใด ซึ่งในเรื่องนี้รัฐบาลต้องคิดให้ดีและอธิบายกับสังคมให้ได้ ถ้าหากจะเดินเรื่องนี้จริง” ทวีเกียรติ กล่าว

ขณะที่ “ทศพล ทรรศนกุลพันธ์” อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็แสดงความคิดเห็นว่าการขอพระราชทานอภัยโทษให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ในรูปแบบดังกล่าวนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะปรัชญาของกฎหมายพระราชทานอภัยโทษนั้น เกิดขึ้นจากฐานคิดที่ต้องการให้ ผู้รับโทษต้องชดใช้ความผิดที่ตนเองได้ทำไว้ก่อน หากจะมีการขออภัยโทษจริง ก็ไม่น่าจะถูกหลักการ

“การทำให้ความผิดหายไปนั้น มีหลักการอยู่ 2 อย่างคือ ถ้าไม่ขอพระราชทานอภัยโทษ ก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมา โดยผ่านกระบวนการของรัฐสภา โดยอาจย้อนหลังไปถึงช่วงรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 อย่างที่นายกฯ เคยพูดไว้ก่อนเลือกตั้ง แต่หากพิจารณาแล้วเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ ไม่น่าจะกล้าทำ เพราะการใช้เวที ‘รัฐสภา’ ในการ ออกกฎหมายนี้จะเป็นประเด็นใหญ่ที่จะสร้างการถกเถียงในวงกว้าง และอาจเป็นเงื่อนไขทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้” ทศพล กล่าว

ขณะที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.ยุติธรรม ได้อธิบายเรื่องหลักกฎหมายการขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านเฟซบุ๊กตัวเองมีใจความว่า 1.การขอพระราชทานอภัยโทษหมายถึงการขอรับพระราชทานอภัยโทษในความผิดที่ศาลมีคำพิพากษาตัดสินแล้ว มิใช่หมายความรวมถึงการกระทำความผิดอื่นๆ ที่ยังมิได้มีการฟ้องร้องหรือที่ศาลยังมิได้ตัดสินคดี ซึ่งในกรณีปกติ จำเลยจะต้องมาฟังคำพิพากษาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการถูกควบคุมตัวมาในกรณีที่ถูกคุมขังหรือมาศาลเองในกรณีที่มีการประกันตัว

ดังนั้น เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก จำเลยผู้นั้นจะถูกควบคุมตัวไปจำคุกในความผิดนั้นทันที และเมื่อถูกจำคุกในความผิดนั้นอยู่ จำเลยหรือนักโทษนั้นก็อาจทำเรื่องทูลเกล้าฯ ขอรับพระราชทานอภัยโทษได้ แปลว่าขั้นที่ 1 ต้องถูกพิพากษาให้ติดคุกและต้องติดคุกก่อนแล้วจึงทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่ใช่หนีไปแล้วขอพระราชทานอภัยโทษ

2.ขั้นต่อมา เมื่อถูกคุมขังแล้ว ผู้ต้องขังนั้นมี ความประสงค์จะขอพระราชทานอภัยโทษก็ให้ทำได้ เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259 กำหนดไว้ว่าให้ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษหรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว (แปลว่าคดีสิ้นสุดไม่มีอุทธรณ์หรือฎีกาอีกแล้ว) ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อ รมว.ยุติธรรม ก็ได้

มาตรา 261 วรรคหนึ่งของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ระบุไว้ รมว.ยุติธรรม มีหน้าที่ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์พร้อมทั้งถวายความเห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่

ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องซึ่งได้แก่กรมราชทัณฑ์ก็จะทำความเห็นเสนอ รมว.ยุติธรรม ถึงพฤติกรรมและความประพฤติของนักโทษผู้นั้น รวมถึงระยะเวลาการที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาว่าผู้นั้นสมควรที่จะได้รับการพระราช ทานอภัยโทษหรือไม่ แต่หากจำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ก็เท่ากับไม่มีตัวตนของจำเลยหรือนักโทษผู้นั้นให้เจ้าหน้าที่สามารถรายงาน รมว.ยุติธรรม ให้พิจารณาพฤติกรรมและความประพฤติ รวมถึงระยะเวลาที่ผู้นั้นได้รับโทษตามคำพิพากษาว่ามีเหตุผลสมควรที่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษแล้วหรือไม่

ข้อควรทราบคือ แม้ในอดีตที่ผ่านมาจะเคยมีจำเลยที่หลบหนีการจำคุกหลายรายได้ยื่นเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษ แต่กรมราชทัณฑ์ไม่เคยทำความเห็นเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ถวายความเห็นควรให้พระราชทานอภัยโทษจำเลยเหล่านั้นเลย และไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมท่านใดที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นนี้ของกรมราชทัณฑ์

นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่าไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีท่านใด รวมทั้ง สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี อีกเช่นกันที่เห็นว่าควรจะถวายความเห็นให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้หลบหนีการคุมขังตามคำพิพากษา เรื่องนี้มีเอกสารหลักฐานชัดเจนทุกยุคทุกสมัย

ทั้งหมดต้องติดตามเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร แต่ถ้าสั่งรัฐบาลเดินหน้า มีความเสี่ยงสูง  

 

ข่าวล่าสุด

ไทยเบฟคว้า 2 รางวัลอาหารจากเวที RED TABLE AWARDS 2025