posttoday

ศพนิรนาม เส้นทางความตายปริศนา

25 สิงหาคม 2554

การพบศพจำนวน 169 ศพนิรนามที่ จ.ระยอง

โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ

การพบศพจำนวน 169 ศพนิรนามที่ จ.ระยอง สร้างความแตกตื่นให้กับสังคมไม่น้อย บ้างก็ว่าเป็นของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต บ้างก็ว่าเป็นศพไร้ญาตินิรนามที่ตามหาญาติไม่พบ มาฝังฝากป่าช้าไว้เพื่อจะได้ฌาปนกิจให้ถูกต้องตามหลักศาสนา

แต่สงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ศพนิรนามเหล่านี้ทำไมถึงได้มากมายก่ายกอง ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะมีศพเก็บไว้มากมายเช่นนี้ แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องจบชีวิตลง พวกเขามาจากที่ไหน อะไรที่ต้องให้พวกเขาถูกตราชื่อไว้ว่าเป็น “ศพนิรนาม” สุดท้ายที่ไร้ญาติ

กระบวนการเส้นทางของศพนิรนามหรือศพไร้ญาติเป็นไปในรูปแบบการตรวจพิสูจน์ จะแตกต่างกันอย่างไรระหว่างนิรนามและไร้ญาติ จะมีเส้นทางตรวจพิสูจน์อย่างไรบ้าง คนที่รู้ดีและน่าจะไขคำตอบตรงนี้ได้ คงหนีไม่พ้น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์

เอาตั้งแต่แรกเริ่มกันเลย ตามกระบวนการกฎหมายแล้ว หากมีการตายด้วยวิธีที่ผิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรม อุบัติเหตุ หรือฆ่าตัวตาย จะต้องมีการชันสูตรศพจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือแพทย์แต่ละท้องที่ในทันทีเพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริงลงในบันทึกการเสียชีวิต

แต่จะเป็นศพนิรนามหรือศพไร้ญาติก็ต้องอยู่ที่จุดนี้ ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องแยกแยะให้ชัดเจน แต่ว่ากันตามจริงการชันสูตรบางครั้งก็ไม่เรียบร้อย ไม่รอบคอบ และคนที่ตายโดยที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร ทั้งคนป่วยที่เสียชีวิตภายในโรงพยาบาล ไม่มีญาติมาติดต่อ ก็จะถูกโยนเป็นศพไร้ญาติเสียทั้งหมด

หมอพรทิพย์ให้ความรู้ว่า ส่วนใหญ่แล้วศพไร้ญาติเราจะสังเกตได้ง่ายๆ เมื่อออกจากการชันสูตรศพไปแล้ว ระบุว่าเป็นศพไร้ญาติ ทางมูลนิธิจีนต่างๆ ก็จะนำไปฝังไว้รวมกันในป่าช้าแต่ละแห่งแต่ละท้องที่ รอวันล้างป่าช้าเมื่อศพเต็มป่าช้าเมื่อถึงวันล้างป่าช้า ก็จะนำศพไร้ญาติมาเผาเพื่อฌาปนกิจดังที่เราเห็นๆ กันทั่วไป

“แต่ศพนิรนามห้ามเผาเด็ดขาด เพราะต้องมีกระบวนการชันสูตรเพื่อสืบหาสาเหตุการตาย ซึ่งจุดนี้ทางเราคือสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จะต้องเข้ามาตรวจพิสูจน์ร่วมกันกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราก็ทำฝ่ายเดียว” พญ.พรทิพย์บอก

จุดที่เป็นศพนิรนามจะมีขั้นตอนตรวจสอบอยู่ 3 ขั้นตอนหลักๆ ที่เป็นเส้นทางเพื่อนำไปสู่กระบวนการคดีและการติดตามญาติเพื่อนำศพไปบำเพ็ญพิธีทางศาสนา

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ แจกแจงขั้นตอนทั้ง 3 ขั้นตอนให้ฟัง คือ 1.เมื่อมีการตาย ข้อนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลพร้อมกับส่งไปชันสูตรในเบื้องต้น แต่หากเป็นศพที่ตายมานานแล้ว เหลือแต่กระดูก ก็จะส่งต่อมายังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เพื่อเข้าไปตรวจสอบ แต่แน่นอนว่าถ้าศพเป็นกระดูกไปแล้วจะยากที่สุดในการชันสูตร

2.เมื่อมีการพบศพ ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะมีขั้นตอนการตรวจสอบ 3 อย่าง คือ (1) ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เกิดการตายอย่างไร รูปแบบไหน เก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุด (2) ชันสูตร หากตายจากการถูกยิง ต้องหาวิธีกระสุนในกระดูกของศพ ตรวจสอบว่าถูกอาวุธปืนชนิดใด จากนั้นจะต้องนำหลักฐานทั้งหมดของผู้เสียชีวิตเข้าสู่กระบวนการต่อไป (3) เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลบุคคลพร้อมกับทำโครงหน้า รากฟันอะไรต่างๆ เพื่อติดตามหาญาติต่อไป

3.หากพบว่าเป็นคดีฆาตกรรม และรู้ว่าเป็นใครแล้ว ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสืบสวนคดีเพื่อหาคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย จุดนี้ตำรวจจะเข้ามาจัดการร่วมกัน เพื่อที่เขาเหล่านี้จะได้ไม่ต้องเป็นศพนิรนามอีกต่อไป

“ปัจจุบันนี้มีศพนิรนามที่อยู่ทั่วประเทศกว่า 6 หมื่นศพที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์หรือชันสูตรเลย เฉพาะที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ต้องดูแลศพนิรนามมีอยู่กว่า 2,000 ศพ ก็ตรวจสอบชันสูตรไปเรื่อยๆ ติดตามญาติได้บ้าง ตั้งแต่ปี 2546 ถึงปัจจุบัน เราส่งคืนศพนิรนามให้กับญาติได้ 4 ราย กระบวนการถามว่ายากหรือไม่ ตอบได้เลยว่ายาก เพราะบางศพไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แต่อย่างไรก็ต้องทำตามหน้าที่เพื่อให้ถูกต้องที่สุด”

หมอพรทิพย์ ยังบอกว่า ปัจจุบันระบบตรวจสอบชันสูตรศพนิรนามของไทยยังคงคลุมเครืออยู่ แต่ไม่ใช่ว่ามาตรฐานของเราไม่ดี เพียงแต่ระบบที่ต้องมีการปรับปรุงเพื่อจัดระเบียบให้ถูกต้อง เพราะมีบางศพที่ต้องตายเปล่าไปจำนวนมาก ไม่ได้รับการพิสูจน์อะไรทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้ยินดีผลักดันให้เป็นกรอบกฎหมายอย่างชัดเจน

ปัจจุบันที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยังคงมีประชาชนที่ติดตามคนหายเข้ามาติดต่อ ส่งรายชื่อให้เจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบว่า คนตายที่พบเป็นญาติหรือคนในครอบครัวหรือไม่ แต่กระนั้นการที่คนคนหนึ่งจะต้องไปจบชีวิตโดยไม่รู้วันรู้คืนล่วงหน้า หรือตาสีตาสาที่ไม่มีอะไรติดตัว เอกสารบ่งบอกตนเองหายไปจากการฆาตกรรมอำพรางต่างๆ ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่ไม่น้อย เผลอๆ ตายไปแล้ว จากคนที่เคยมีชื่ออาจจะกลายเป็นนิรนามหรือศพไร้ญาติขึ้นมาก็ได้ !!!

 

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"