ณ เส้นทางที่เลือก กิตติรัตน์ ณ ระนอง
กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นชื่อที่มีความหมายว่า “แก้วที่ได้รับการสรรเสริญ”
กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นชื่อที่มีความหมายว่า “แก้วที่ได้รับการสรรเสริญ”
โดย..วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
เมื่อสืบสาวถึงเทือกเถาเหล่ากอและความเป็นไปเป็นมาของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ดูให้ลึกลงไปแล้วการเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ นับว่ามีความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ที่ดูดี ซึ่งได้พยายามรักษามาไม่น้อยเลย
กิตติรัตน์ ณ ระนอง เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2503 เป็นบุตรของ เก่ง (คอเบียนเก่ง) ณ ระนอง และ วิลัดดา หาญพานิช จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก แล้วเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ (ปริมาณวิเคราะห์) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเข้าศึกษาระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับลงทะเบียนเข้าศึกษาข้ามสถาบันกับ Kellogg Graduate School of Management Northwestern University สำหรับวิชา Finance II
หลังจากจบการศึกษาได้เข้าไปทำงานใน บริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง ในปี 2530 แล้วย้ายไปเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ ปี 2535 เป็นกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอกเอเซีย ปี 2540 เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง เป็นกรรมการบริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ ปี 2541 เป็นกรรมการบริหาร บริษัท ยูนิเวนเจอร์ และเป็นกรรมการบริษัท ยูนิเวนเจอร์ คอนซัลติ้ง ปี 2542 เป็นกรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปี 2544 เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2549 ก่อนจะไปเป็นอธิการบดี มหาวิทยาลัยชินวัตร เปิดทางให้ได้ทำงานใกล้ชิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนได้ดำรงตำแหน่งยิ่งใหญ่ในวันนี้
นอกจากเทือกเถาเหล่ากอของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ทางตระกูลหาญพานิชของผู้เป็นมารดาจะเกี่ยวดองกับ อนันต์ อัศวโภคิน มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งนายทุนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยแล้ว ทางฝ่ายบิดายังเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงมาจาก พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ต้นตระกูล ณ ระนอง ซึ่งเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน จากจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาทำมาหากินอยู่ที่ปีนัง ระยะหนึ่ง จึงเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำการค้าขายที่ระนองและพังงา จนเป็นเศรษฐีเหมืองแร่ในยุคต้นๆ ของเมืองไทย ทั้งยังเป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า เป็นผู้ที่นำเอาต้นยางพาราต้นแรกเข้ามาปลูกในประเทศไทย ได้รับพระราชทานความไว้วางใจให้เป็นผู้ผูกขาดอากรดีบุกเมืองระนองและเมืองตระ จนมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูง ได้ทำอากรดีบุกเป็นเวลาช้านาน ส่งภาษีอากรมิได้ขาด ทั้งเป็นขุนนางที่มีเมตตา โอบอ้อมอารี เป็นที่รักใคร่นับถือของคนทั่วไป สามารถระงับทุกข์ระงับร้อนนำความสงบร่มเย็นมาสู่ประชาชนพลเมืองต่างพระเนตรพระกรรณได้เป็นอย่างดี จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นจางวาง ผู้กำกับราชการเมืองระนองในที่สุด ครั้นเมื่อถึงแก่อสัญกรรม ก็ได้รับพระราชทานที่ดินที่เขาระฆังทอง เมืองระนองเป็นที่ฝังศพและพระราชทานป้ายศิลาปักหน้าฮวงซุ้ย จารึกประวัติเป็นภาษาไทยและภาษาจีน
ทายาทรุ่นต่อมาและเป็นผู้ที่รับพระราชทานนามสกุล ณ ระนอง จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง) ผู้ว่าราชการเมืองระนองและสมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร เป็นบิดา คอยู่สอง ณ ระนอง ผู้เป็นปู่ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท ทำประโยชน์และคุณงามความดีให้แก่ชาติบ้านเมืองจนถึงแก่อสัญกรรมเช่นเดียวกัน
ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กิตติรัตน์ นอกจากจะเป็นคนหนุ่มที่สนใจในกิจกรรมทางสังคม กีฬา และดนตรีแล้ว ยังได้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคไทยรักไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ตามคำชักชวนของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ศิษย์เก่าร่วมสถาบันบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เป็นที่รู้จักมักคุ้นกับนักการเมืองและผู้บริหารพรรคไทยรักไทยเป็นอย่างดี จนกระทั่งเมื่อ วิชรัตน์ วิจิตรวาทการ ยื่นใบลาออกจากกรรมการผู้จัดการตลาดทรัพย์แห่งประเทศไทย ในเดือน ก.ย. 2544 กิตติรัตน์ ได้รับการทาบทามจาก สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขณะนั้น ให้ไปดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของนักการเมืองในพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะกลุ่ม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ภายหลังที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณ 4 ปีเศษ ได้เกิดปัญหาเรื่องการนำ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ (เบียร์ช้าง) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากถูกต่อต้านจากประชาชนจำนวนหนึ่ง ทำให้ กิตติรัตน์ ประกาศที่จะลาออกจากตำแหน่ง หากไม่สามารถนำเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์ในไทยได้และในที่สุดก็ต้องลาออก ในเดือน พ.ค. 2549 แล้วอาสาเข้าไปดูแลทีมฟุตบอลของราชประชา ด้วยมีความฝังใจเป็นแฟนราชประชามาตั้งแต่เด็ก ขณะเดียวกันก็อาสาไปทำงานให้กับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ฯ เมื่อปี 2549
ครั้งสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองเข้มข้นขึ้นหลังรัฐบาลทักษิณถูกปฏิวัติ กิตติรัตน์ ได้กระโดดเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอย่างเปิดเผย จึงลาออกจากตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ฯ ในเดือน ก.ค. 2553 เพื่อไปดำรงตำแหน่งอธิการบดี มหาวิทยาลัยชินวัตร ได้เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ อันเป็นงานที่ยิ่งลักษณ์มีความถนัดมากที่สุด จนเป็นที่ร่ำลือในหมู่คนใกล้ชิดของตระกูลชินวัตรว่า กิตติรัตน์ คือ กุนซือใหญ่ที่ยิ่งลักษณ์ให้ความเชื่อถือและฟังมากที่สุดคนหนึ่ง
การเข้ามารับตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่เหนือความคาดหมาย หากแต่มีความแตกต่างที่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นก็คือ นับแต่นี้ต่อไประหว่าง กิตติรัตน์กับยิ่งลักษณ์ ใครจะฟังใครในทางความคิดและแนวทางการบริหารประเทศ หากทุกสิ่งทุกอย่างยังคงสภาพที่เคยเป็นมา ก็นับว่าอาจจะเป็นโชคดีของคนไทยและประเทศไทย แต่ถ้าหากไม่ใช่และไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ กิตติรัตน์ มีสติหนักแน่นพอที่จะช่วยปกป้องรักษาเกียรติภูมิและสิ่งดีงามของชาติบ้านเมืองไว้ ดังเช่นบรรพบุรุษได้เคยปกปักรักษาด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและจงรักภักดี สมดังบรรดาศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานมาหลายชั่วคนว่า “ดำรงสุจริตมหิศรภักดี” ที่ผู้คนในตระกูล ณ ระนอง สำนึกและภาคภูมิใจตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้ m


