การทำลายป่าฝนเขตร้อนของไทย
ป่าฝนหรือป่าดิบชื้นของประเทศไทยเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่ในประเทศนี้
ป่าฝนหรือป่าดิบชื้นของประเทศไทยเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่ในประเทศนี้
โดย..ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
ป่าฝนหรือป่าดิบชื้นของประเทศไทยเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่ในประเทศนี้ แต่ปัจจุบันสูญสลายหายไปเกือบเรียกได้ว่าไม่เหลือหลอ ทั้งนี้เนื่องมาจากพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ของประเทศถูกตัดฟันลงและปลูกทดแทนด้วยต้นยางพารา ซึ่งเป็นไม้ต้นผลัดใบจากอเมริกาใต้ (บราซิล) ส่วนใหญ่คนไทยมีความเห็นว่าตัดป่าดั้งเดิมออกก็ไม่เป็นไร เพราะต้นยางก็เป็นป่าให้ความชุ่มชื้นคล้ายๆ กัน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าทำไร่ข้าวโพด มันสำปะหลัง หรืออ้อย
ดูเผินๆ เหมือนจะจริง แต่ถ้ามองให้ลึกแล้ว ต้นยางพารานี่เป็นภัยร้ายกับประเทศไทย เพราะมันได้ทำลายป่าดั้งเดิม (Primary Forest) ของประเทศไทยลงอย่างยับเยิน ตลอดภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคเหนือ แม้แต่ป่าต้นน้ำลำธาร เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ภูเขียว น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ก็ถูกคุกคามจนถึงเกือบใจกลางอุทยาน ไม่ต้องพูดถึงเขาค้อ เพราะทั้งป่าราพณาสูรไปแล้ว ด้วยน้ำมือของนักโกนภูเขาตัวยง ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้จักกันดีเต็มอกคนไทย
ป่าดั้งเดิมของไทยนั้นคงเหลืออยู่บ้างทางภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 จังหวัด ที่ยังคงความเป็นป่าดิบ (Evergreen) อยู่ในบริเวณชายแดนไทยมาเลเซีย แต่คิดว่าไม่นานนักก็คงจะถูกบุกรุกด้วยพืชเศรษฐกิจไม่ยางพาราก็ปาล์มน้ำมัน
เรามีความเห็นว่าป่าดิบซึ่งถูกปลูกทดแทนด้วยยางพารานั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นป่าดิบชื้นหรือป่าฝนได้ เพราะเมื่อต้นยางผลัดใบพร้อมกันก็จะเกิดความแห้งแล้งที่เด่นชัดและยาวนาน ซึ่งน่าจะเรียกป่าประเภทนี้ว่าป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) ซึ่งป่าแบบนี้ต่างจากป่าฝนหรือป่าดิบชื้นเขตร้อนที่แท้จริง เพราะในที่สุดแล้วผลลัพธ์ของป่ายางพาราคือความแห้งแล้ง ขาดฝนเป็นเวลายาวนาน จนในที่สุดโรคระบาดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของยางพาราจะเข้ามาเยือน เศรษฐกิจเกษตรพินาศในวงกว้างเมื่อถึงขั้นนี้
ปาล์มน้ำมันเป็นมหันตภัยที่ทำลายความสมบูรณ์ทางชีววิทยาของป่าดั้งเดิมของเอเชียลงอย่างยับเยิน ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทย ลองดูที่อินโดนีเซีย ทั้งที่บอร์เนียว และสุมาตรา มาเลเซียเองขนาดมีสำนึกด้านอนุรักษ์เป็นอย่างดีแต่ไม่วายหมดพื้นที่ไปกับการปลูกปาล์มน้ำมันจำนวนมหาศาล ปาล์มน้ำมันมาจากแอฟริกาตะวันตกและตอนกลางในหลายประเทศ การโค่นป่าและปลูกพืชเดี่ยวเช่นนี้ลงไปก็ยังไม่เกิดผลร้ายเท่ายางพารา เนื่องจากบนต้นปาล์มน้ำมันยังคงเป็นที่อาศัยของพืชอิงอาศัยหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชวงศ์ไทร และมะเดื่อ ซึ่งให้ผลเป็นอาหารของนกป่า ซึ่งมีผู้รายงานว่ามีนกอยู่ 40 ชนิด ในเขตสวนปาล์มน้ำมัน ไม่นับหมูป่า กระรอก และสัตว์อื่นๆ ที่ได้อาศัยผลแก่ของปาล์มน้ำมันเป็นอาหาร
อย่างไรก็ตาม ทั้งปาล์มน้ำมันและยางพารา เมื่อถึงอายุตัดโค่นจะก่อให้เกิดการโค่นล้ม ตัดฟัน และสุมไฟทำลายซาก เพิ่มความรุนแรงแก่ภาวะโลกร้อน และเพิ่มมลพิษในบรรยากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูกรณีของไฟไหม้ป่าครั้งยิ่งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ของโลกที่บริเวณกาลีมันตันของอินโดนีเซีย
การปลูกข้าวโพดซึ่งเป็นพืชไร่ และได้รับการส่งเสริมโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ได้เข้าทำลายป่าไม้ในเขตป่าสงวนตีนดอยอินทนนท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายหมู่บ้าน เขต อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ลงอย่างย่อยยับ เกษตรกรอีกไม่น้อยกลับเริ่มวิตกกับผลพวงของธรรมชาติซึ่งรอการเข้าแก้แค้น อะไรจะเกิดขึ้นกับภูเขาเขตป่าสงวนที่ถูกโค่นไม้ทำลายจนเหลือแต่ตอไม้สีดำเป็นตอตะโก
ขอให้หน่วยงานรักษาป่าสังกัดกรมป่าไม้ หรือสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้นเรื่องดำเนินงานจับกุม ฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้บุกรุกทำลายป่าสงวนต้นน้ำใน อ.แม่แจ่ม รวมทั้งผู้ส่งเสริมการผลิตพืชอาหารสัตว์ ซึ่งปราศจากความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เราคงได้แต่หวังว่าฟ้าดินคงจะมีบทลงโทษผู้กระทำการรุกรานธรรมชาติเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็ว หรือจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้


