ส่องนโยบายพรรคเอสเอ็มอี ก้าวไม่พ้นประชานิยม
นโยบายของพรรคการเมืองขนาดกลาง หรือที่เรียกกันในภาษาการเมืองว่า “พรรคเอสเอ็มอี” ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีลักษณะของนโยบายคล้ายๆ กัน คือ การลด แลก แจก แถม
นโยบายของพรรคการเมืองขนาดกลาง หรือที่เรียกกันในภาษาการเมืองว่า “พรรคเอสเอ็มอี” ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีลักษณะของนโยบายคล้ายๆ กัน คือ การลด แลก แจก แถม
โดย...ทีมข่าวการเมือง
เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 23 ซึ่งถือว่าเป็นสภาชุดแรกจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 หลังจากปักหลักฝ่าฟันกับวิกฤตการเมืองไทยได้มานานถึง 4 ปี ซึ่งทำท่าเจียนอยู่เจียนไปท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่มีพลวัตของการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นสภาในหน้าประวัติ ศาสตร์การเมืองไทยที่ใช้นายกรัฐมนตรีถึง 3 คน ตั้งแต่ สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนถึงความไร้เสถียรภาพของการเมืองไทยได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วทุกอย่างก็ผ่านมาได้จนถึงฉากสุดท้ายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าสู่อารมณ์และบรรยากาศของการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ บรรดาพรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่าง “ประชาธิปัตย์” และ “เพื่อไทย” ต่างโหมการรณรงค์หาเสียงกันอย่างเต็มที่ผ่านการเปิดตัวนโยบายหาเสียงกันอย่างยิ่งใหญ่
นอกเหนือไปจากพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคดังกล่าว “พรรคการเมืองขนาดกลาง” หรือพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบันต่างดำเนินการเปิดตัวนโยบายเช่นกัน เพื่อเป็นการลบคำสบประมาทของบรรดาผู้สันทัดกรณีทางการเมืองว่าเล่นการเมืองเพื่อรอเสียบร่วมเป็นรัฐบาลเพียงอย่างเดียว
เนวิน / บรรหาร / สุวัจน์
เริ่มที่ พรรคภูมิใจไทย ได้ออกนโยบายมาแล้ว 9 นโยบายสำคัญ 9 ข้อ ประกอบด้วย 1.มีน้ำมีเงิน สร้างทางน้ำเข้าไร่นาเกษตร 2.สร้างศูนย์ฝึกนักกีฬาอาชีพสู้แล้วรวย 3.เงินสะพัดในพื้นที่ กองทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จังหวัดละ 100 ล้านบาทต่อปี
4.ชีวิตดี มีงานทำ กองทุนจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง 5.ปลูกแล้วไม่เป็นหนี้ กองทุนประกันราคาสินค้าเกษตร ข้าวเปลือกตันละ 2 หมื่นบาท 6.ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม 2% ทำให้ของถูกลง 7.ตู้เอทีเอ็มไร่นาเกษตรกร 8.ทำดีมีรายได้ กองทุนสวัสดิการผู้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม และ 9.สร้างที่ทำกิน ที่ค้าขาย 1 ล้านคน
ทั้ง 9 ข้อ ส่วนใหญ่มาจากมันสมองของชายที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” เป็นหลัก โดยหนนี้ เนวิน ต้องการเน้นนโยบายด้านการสร้างอาชีพผ่านการผลักดันให้เยาวชนเข้าสู่ระบบกีฬาอาชีพในระยะยาว ซึ่งมองว่าจะเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก
ส่วนนโยบายด้านอื่นๆ มาจากการระดมสมองของแกนนำพรรค และให้ “ปองพล อดิเรกสาร” เป็นผู้รวบรวมและร่างออกมาเป็นนโยบายดังกล่าว โดยนโยบายที่เปิดตัวออกมาในครั้งนี้เป็นเพียงการเสนอกรอบนโยบายคร่าวๆ เท่านั้น แต่จะมีการเปิดนโยบายพรรคอย่างละเอียด ซึ่งจะมีการระบุถึงแผนการดำเนินการที่แสดงถึงความเป็นไปได้จริงของนโยบายในทางปฏิบัติหลังจากการยุบสภา
ต่อด้วย พรรคชาติไทยพัฒนา บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้เสนอแนวทางให้กับพรรคเอาไว้ว่า ไม่อยากให้พรรคให้ความสำคัญกับนโยบายประชานิยมเหมือนกับสองพรรคการเมืองใหญ่
กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของ “เกษมสันต์ วีระกุล” อดีตมือเศรษฐกิจของพรรครวมชาติพัฒนา ที่คราวนี้ผันตัวมาอยู่ร่วมกับพรรคชาติไทยพัฒนาตามคำชวนของ “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” อดีตเลขาธิการพรรครวมชาติพัฒนาที่ปัจจุบันมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
เบื้องต้นได้มีการเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจออกมาแล้ว โดยยังเน้นหนักเศรษฐกิจภาคเกษตรกรรม เช่น ขยายพื้นที่ชลประทานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ 25 ลุ่มน้ำ ต่อยอด พ.ร.บ.สภาเกษตรกรให้เกิดเป็นรูปธรรม ด้วยการให้มีอาสาสมัครเกษตรประจำหมู่บ้าน (อกม.) พร้อมกับให้ค่าตอบแทนคนละ 1,000 บาท จัดตั้งสถานีโทรทัศน์การเกษตร และพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม
สำหรับนโยบายด้านสวัสดิการสังคมของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ไม่น้อยหน้าพรรคการเมืองใหญ่เช่นกัน เพราะเสนอเพิ่มเงินสวัสดิการผู้สูงอายุ 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน และสร้างสนามกีฬาเพื่อสุขภาพแบบครบวงจรแห่งละ 12 ล้านบาทให้กับทุกตำบล
ปิดท้ายด้วย พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เป็นอีกพรรคที่ให้ความสำคัญกับการสร้างนโยบายเช่นกัน เพราะมีการวางตัวมือเศรษฐกิจเอาไว้ถึง 3 คนสำคัญด้วยกัน คือ กรพจน์ อัศวินวิจิตร อดีต รมช.พาณิชย์ มนตรี ฐิรโฆไท อดีตผู้ช่วยอธิการบดี และภิรมย์ จั่นถาวร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จุดสนใจอยู่ที่การเข้ามาของ “กรพจน์” เพราะมีคุณสมบัติเพียบพร้อมต่อการเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคทุกประการ โดยนอกจากเคยเป็น รมช.พาณิชย์แล้ว ยังเคยเป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และผู้แทนการค้าไทยในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ในส่วนนโยบายของพรรคได้มีการนำเสนอออกมาให้เห็นเป็นน้ำจิ้มกันบ้างแล้ว โดยการผลักดันสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษให้กับหัวเมืองใหญ่ตามภูมิภาคของไทย เพื่อผลักดันให้สามารถส่งออกสินค้าได้ถึง 10 ล้านล้านบาทต่อปี และให้ความสำคัญกับการศึกษาโดยจัดตั้งกองทุนให้กู้ยืมศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก หลังจากกองทุนการศึกษาของไทยจะเน้นเฉพาะการศึกษาในระดับปริญญาตรีเท่านั้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนโยบายจากพรรคการเมืองขนาดกลาง หรือที่เรียกกันในภาษาการเมืองว่า “พรรคเอสเอ็มอี” ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีลักษณะของนโยบายคล้ายๆ กัน คือ การลด แลก แจก แถม ตามแบบฉบับประชานิยมเหมือนกันทุกพรรคการเมือง เป็นการแสดงให้เห็นว่ายังไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถก้าวข้ามประชานิยมได้เลยแม้แต่พรรคเดียว