posttoday

นโยบายการพึ่งตัวเองด้านยาที่ถูกลืม

08 ธันวาคม 2553

ปัจจุบันกลับยังไม่ปรากฎความชัดเจนของนโยบาย ยังไม่สามารถหากหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน และไม่มีองค์กรใดที่จะมาติดตามความเคลื่อนไหว....

ปัจจุบันกลับยังไม่ปรากฎความชัดเจนของนโยบาย ยังไม่สามารถหากหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน และไม่มีองค์กรใดที่จะมาติดตามความเคลื่อนไหว....

โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน

นโยบายการพึ่งตัวเองด้านยาฉบับที่ 1 อุบัติขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2524 เรื่อยมาจนถึงปี 2536 มีการพัฒนาร่างนโยบายนี้อีกครั้งเป็นฉบับที่ 2 แต่ทว่าจนถึงปัจจุบันกลับยังไม่ปรากฎความชัดเจนของนโยบาย ยังไม่สามารถหากหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน และไม่มีองค์กรใดที่จะมาติดตามความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้

เสวนาอาศรมความคิดระบบยา เรื่องนโยบายแห่งชาติด้านยา : ทิศทางการพึ่งตนเองด้านยาของประเทศ ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม (มภส.) แผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเห็นที่น่าสนใจ

นโยบายการพึ่งตัวเองด้านยาที่ถูกลืม

นพ.เปรม ชินวันทนานนท์ ประธานฝ่ายพัฒนาภูมิปัญญาไทย มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการพัฒนาสมุนไพรอภัยภูเบศรว่า เกิดจากความต้องการให้ประชาชนพึ่งตัวเองทางด้านยาเพื่อลดการใช้ยาต่างประเทศ เพราะหากทำได้จะสามารถประหยัดเงินได้หลายหมื่นล้านบาท โดยเป้าหมายสูงสุดคืออยากให้ทุกครัวเรือนมีสมุนไพรไว้ใช้ในบ้าน และมองว่าสมุนไพรเป็นอาหารที่สามารถบริโภคได้นอกเหนือจากช่วงที่มีอาการป่วย

นพ.ประพจน์ เภตรากาศ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า แนวโน้มการใช้สมุนไพรเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าการใช้ยาแผนปัจจุบันกลับพบว่ายังคงแตกต่างกันมาก ดังนั้นยาสมุนไพรจึงต้องปรับตัวให้ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ปี 2553 มีการใช้สมุนไพรอยู่ที่ 100 - 200 ล้านครั้ง คาดว่าจะเพิ่มเป็น 3 – 5 เท่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า

ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) วิเคราะห์แนวทางการจัดทำนโยบายแห่งชาติเรื่องการพึ่งตัวเองด้านยาของประเทศไทยว่า จะสร้างได้ก็ต่อเมื่อประชาชนมีส่วนร่วมและเห็นความสำคัญในเรื่องเดียวกัน รวมทั้งต้องมีเจ้าภาพในการขับเคลื่อนอย่างจริงจังและชัดเจน ทั้งนี้หัวใจของนโยบายฯ มีด้วยกัน 4 ประการ คือ 1.การพึ่งตนเอง ทั้งระดับปัจเจก ระดับหน่วยปฏิบัติ และระดับชาติ 2.การเข้าถึงยา 3.การประกันคุณภาพความปลอดภัย 4.การใช้ยาอย่างมีเหตุผล

“ทำอย่างไรที่จะดูแลตัวเองได้ จากนั้นไปสู่ระดับโรงพยาบาล และการลดการบริโภคยาเกินความจำเป็น การประหยัดงบประมาณในการนำเข้ายาระดับชาติ ที่สำคัญต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะส่งเสริมการใช้ยาสามัญที่ผลิตขึ้นในประเทศ”อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระบุ

ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ รองประธานมูลนิธิเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม มองว่า สังคมไทยมีความรู้ที่ดี แต่เกรงใจและยอมให้ความรู้ทางตะวันตกเข้าครอบงำ ดังนั้นทางรอดของแนวการพึ่งตัวเองคือ ต้องสะกัดกั้นอิทธิพลหรือปัจจัยภายนอกที่ทำให้ความเชื่อเรื่องการพึ่งตัวเองของคนไทยลดลง ในขณะเดียวกันต้องฟื้นฟูความรู้และจัดการระบบการให้รางวัล

กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานโครงการร่วมระหว่างฝ่ายรณรงค์เข้าถึงยาจำเป็น องค์การหมอไร้พรหมแดน บอกว่า แม้อุตสาหกรรมยาจะไม่ใช่อุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้ให้กับประเทศ แต่จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลเรื่องยา มิฉะนั้นประเทศจะตกอยู่ในกำมือของบริษัทยาข้ามชาติ จึงควรสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เลือกยาเข้าระบบให้เหมาะสมอย่างคุ้มค่าทั้งในเชิงประสิทธิภาพและเศรษฐกิจ

เป็นการนำปัญหาที่ถูกละเลยไปอย่างยาวนาน มาวิพากษ์ให้สังคมตระหนักอีกครั้ง