posttoday

20พ.ย.ลุ้นระทึกคดี "ธนาธร" โดมิโนสู่ยุบพรรคอนาคตใหม่?

12 พฤศจิกายน 2562

20 พ.ย.นี้เป็นนัดสำคัญ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินชี้ชะตา “ธนาธร” ว่าจะต้องสิ้นสภาพส.ส.หรือไม่ และอาจเป็นโดมิโน่ตัวเดียวที่สะเทือนไปถึงพรรคอนาคตใหม่

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม , เอกราช สัตตะบุรุษ

************************************

20 พ.ย.นี้เป็นนัดสำคัญ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินชี้ชะตา “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ว่าจะต้องสิ้นสภาพส.ส.หรือไม่ ความน่ากังวล คือ คดีนี้อาจเป็นโดมิโน่ตัวเดียวที่สะเทือนไปถึงพรรคอนาคตใหม่

คดีดังกล่าวมาจากคำร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรธน.วินิจฉัยว่า “ธนาธร” ต้องสิ้นสภาพการเป็น สส. ตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เข้าลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง หลังจากคดีนี้ใช้เวลาสอบสวนในชั้นของ กกต.และศาลรธน.รวม 8 เดือน

สถานการณ์ของ อนค.ปัจจุบัน นับได้ว่า ประสบมรสุมรุมเร้ามากมายในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา บ้างว่า เป็นช่วงขาลงที่หนักหน่วงที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคหลังชนะเลือกตั้งเขย่าการเมืองไทย จากคดีความจำนวนมากกลายเป็นตำบลกระสุนตก บวกกับปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค ที่สมาชิกพรรคและอดีตผู้สมัคร สส.ของพรรค แห่ยื่นลาออกรวม 120 คน พร้อมกับออกมาแฉความไม่เป็นประชาธิปไตยในพรรค มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ แต่งตั้งพวกพ้อง เข้าไปเป็นผู้ช่วย สส. กินเดือนหลวงหลายตำแหน่ง

อีกประเด็น คือ หลังพรรคอนาคตใหม่ ลงมติคัดค้านการออกพระราชกำหนดโอนกำลังพลเป็นของส่วนพระองค์ ซึ่งสวนทางกับ 6 พรรคฝ่ายค้านด้วยกัน จนเกิดเสียงแตกในพรรคที่มี 7 ส.ส.แหกมติพรรค เป็นแรงกระเพื่อมระลอกใหญ่ภายในพรรค

หากดูคดีความที่เกิดกับอนาคตใหม่จนถึงขณะนี้มีมากรวม 20 คดี แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ 1.กลุ่มคดีที่เกิดกับแกนนำพรรคทั้ง “ธนาธร-ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค-พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค” และ 2.คดีที่พรรคถูกฟ้องโดยตรง

คดีที่หนักที่สุดที่อาจทำให้พรรคอนาคตใหม่สั่นคลอน เห็นจะเป็น คดี "ธนาธร" ปล่อยเงินกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ 100 ล้าน คดีที่ครอบครัว “ธนาธร”บริจาคให้พรรคเกิน 10 ล้านบาท ที่ถูกร้องว่า หลบเลี่ยง พรบ.พรรคการเมือง ทั้งสองคดีมี “ศรีสุวรรณ จรรยา” เป็นผู้ยื่นเรื่องต่อกกต.ให้เอาผิดกับพรรคอนาคตใหม่ ข้อหาผิดพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งหากผิดจริงนำไปสู่การยุบพรรค รวมถึงยังมีคำร้องของ “ณฐพร โตประยูร” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่เป็นปฏิปักษ์และล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ศาลรธน.รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว

ก่อนหน้นี้ “ปิยบุตร” ชี้แจงผ่านเฟสบุ๊คพรรคว่า น่าแปลกเพราะพรรคยังไม่ได้มีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน แต่กลับมีคดีความมากถึง 20 คดี ท่ามกลางความเชื่อเต็มไปหมดว่าจะถูกยุบพรรค ตัดสิทธิ จำคุก

“ผมอยากถามกลับไปตรงๆ ว่าทุกคนรู้สึกว่าพรรคอนาคตใหม่ทำผิดกฎหมายจริงๆ หรือที่เราถูกกระทำทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเพราะเรามีแนวทางที่ทำให้ผู้มีอำนาจไม่สบายใจ”

ปิยบุตร ระบุว่า กรณีหุ้นสื่อที่ “ธนาธร”โดนอยู่นี้ ท้ายที่สุดแล้วรัฐธรรมนูญมาตรานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อมิต้องการให้ ส.ส. หรือรัฐมนตรีมีอิทธิพลในการครอบงำสื่อ ฉะนั้นต้องดูว่ากิจการที่ถือหุ้นนั้นเป็นสื่อหรือไม่ และการถือหุ้นนั้นมีมากน้อยเพียงใดถึงขั้นมีอิทธิพลครอบงำสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย ไม่ได้เป็นสื่อมวลชน เป็นเพียงบริษัทที่รับจ้างผลิตรูปเล่ม ไม่ได้กำหนดเนื้อหา และก็ปิดกิจการเรียบร้อย อีกทั้งธนาธรก็ได้โอนหุ้นไปหมดตั้งแต่ 8 มกราคม แต่ “ธนาธร”กลับถูกเล่นงานตามมาตรานี้

ขณะที่ “ธนาธร” กล่าวว่า คดีถือหุ้นสื่อไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับการยุบพรรค เป็นแค่นายธนาธรมีคุณสมบัติเป็น ส.ส.หรือไม่ แล้วคดีที่มีอยู่ทั้งหมดจะนำไปสู่การยุบพรรคได้ก็ยากมาก เพราะการยุบพรรคจะเขียนไว้ชัดเจนว่าจะต้องมีกรณีใดบ้าง

"ดังนั้นเราเชื่อมั่นว่าคนที่พูดเรื่องยุบพรรค สื่อมวลชน หรือคนไม่หวังดีพูดเรื่องยุบพรรคมีเป้าประสงค์ทางการเมืองเพื่อทำให้คนไม่กล้ามาร่วมงานกับพรรคอนาคตใหม่ เพื่อที่จะทำให้ส.ส.ของเราหวั่นไหวลังเลจะ ได้มีการซื้อกันได้ง่ายมากขึ้น" ธนาธร กล่าว

รศ.ยุทธพร อิสรชัย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า แม้พรรคอนาคตใหม่จะปัญหาหายในพรรค แต่ก็ยังไม่เป็นขาลง และไม่น่ากังวล เพราะเป็นธรรมชาติของพรรคการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านที่จะนำไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมือง หลายพรรคเจอปรากฏการณ์แบบนี้มาตลอด พรรคประชาธิปัตย์ก็มีกลุ่ม 10 มกราฯ ที่ต่อมากลายเป็นพรรคประชาชน หรือการรวมตัวกันของนักการเมืองพรรคชาติพัฒนา พรรคชาติไทย และพรรคพลังธรรม ในนามกลุ่ม16 เมื่อปี 2535 หรือจะเป็นสมัยพรรคไทยรักไทย ก็มีหลายกลุ่มที่แตกตัวออกมาเป็นพรรคการเมืองต่างๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าห่วง คือ การตัดสินในวันที่ 20 พ.ย. หากผลออกมาในทางไม่ดีกับนายธนาธร ก็อาจจะนำไปสู่การยุบพรรคได้ แล้วมีการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคได้ เมื่อถึงตอนนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นขาลง

“พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นเร็วกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ เพียงปีกว่าๆ แต่ยกระดับขึ้นมาเป็นพรรคขนาดใหญ่ ก็เลยทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว การรักษาสถานการณ์พรรคอนาคตใหม่ของแกนนำ นอกจากต้องทำให้บรรยากาศในพรรคไม่มีแรงกระเพื่อมมากแล้ว ต้องเตรียมการรองรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกยุบพรรค แล้วบรรดาแกนนำที่ถูกตัดสิทธิ์การเมืองจะเดินหน้าการเมืองต่อไปอย่างไร แล้วคนที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์จะทำอย่างไร จะไปอยู่พรรคใหม่อย่างไร เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อม” รศ.ยุทธพร กล่าว

ทั้งนี้หากในอนาคตพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ส.ส.ของพรรคยังสามารถเข้าไปสังกัดพรรคใหม่ได้ภายใน 60 วัน ตามมาตรา 101 ของรัฐธรรมนูญ ตรงนี้ก็ถือว่าสมาชิกภาพการเป็นส.ส.ยังคงอยู่

เขากล่าวว่า หากพรรคอนาคตใหม่ยังคงรักษาสถานภาพต่อไปได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พรรคจะเติมโตขึ้นมาเทียบเคียงหรือเหนือกว่าพรรคเพื่อไทย หรือถึงขั้นมาแทนพรรคเพื่อไทยนั้น เพราะเป็นผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย ที่สะท้อนภาพให้เห็นแล้วว่าหากพรรคการเมืองใดที่มีอุดมการณ์ที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็เป็นที่นิยมชมชอบด้วยกันทั้งนั้น

รศ.ยุทธพร กล่าวว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า จะยังไม่ได้หายไป เพราะมีฐานเสียงส.ส.แบบเขตอยู่ ซึ่งเหนียวแน่นพอสมควร แต่พรรคอนาคตใหม่เองมีจุดอ่อนที่ไม่มีส.ส.แบบเขตเลือกตั้งที่เข้มแข็งเท่าไหร่ ซึ่งต้องพัฒนาในจุดนี้

“ที่สำคัญการที่พรรคอนาคตใหม่ดำเนินงานทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ในลักษณะเหมือนวัยรุ่นใจร้อน ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณากฎหมาย หรือการอภิปรายในสภา ก็จะมีผลต่อการดำรงอยู่ของพรรคอนาคตใหม่ด้วย ซึ่งแนวทางของพรรคอนาคตใหม่คือเขาต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องการการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างของแวดวงการเมืองด้วย ซึ่งต้องเข้าใจว่าแวดวงการเมืองไทยฝ่ายที่เป็นอนุรักษ์นิยมก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งทางพรรคอนาคตใหม่ต้องเผชิญกับเสียงวิพากวิจารณ์กับอุดมการณ์ของตัวเองแน่นอน ในส่วนนี้พรรคอนาคตใหม่จะต้องปรับตัวในการทำงานการเมืองใหม่ ต้องมีความสุขุมนุ่มลึกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงทุกต้องรออย่างใจเย็น จะให้ทันทีทันใดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสังคมไทย เพราะหากใช้กลยุทธ์แบบเดิม โอกาสที่จะถูกต่อต้านจะมีสูงมาก” รศ.ยุทธพร กล่าว

“สติธร ธนานิธิโชติ” นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมือง สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า คดีถือหุ้นสื่อของ “ธนาธร” ถ้ามองผลในทางบวก ก็คือ “ธนาธร” พ้นจาก ส.ส. แค่สมัยนี้ แล้วกลับมาลงเลือกตั้งใหม่ได้สมัยหน้า แต่ถ้าแบบเลวร้ายที่สุด “ธนาธร” มีความผิดพ้นจาก ส.ส. และคำวินิจฉัยโยงความผิดในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่จะต้องรับผิดชอบเซ็นรับรองผู้สมัคร สส. ด้วย ตรงนี้ก็สุ่มเสี่ยงผิด พรบ.ประกอบรธน.ว่าด้วยพรรคการเมือง ก็จะนำไปสู่ฟ้องยุบพรรคตามมาอีก ซึ่งจะต้องมีผู้ฟ้องต่อ กกต. และส่งให้ศาลรธน.วินิจฉัยยุบพรรคอีกครั้ง ส่วนความผิดยุบพรรคนั้น คณะกรรมการบริหารพรรค 16 คน รวมถึง “ปิยบุตร” จะต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งซึ่งแม้รธน.ไม่ได้เขียนว่า กี่ปี แต่ศาลอาจเทียบเคียงกับคดียุบพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้ ที่เพิกถอนสิทธิ์ กรรมการบริหารพรรค 10 ปี

สิ่งที่จะวุ่นตามมาอีก คือ กรณี ส.ส.อาจย้ายพรรคได้ แต่ผู้ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคและควบตำแหน่ง ส.ส.ด้วยจำนวน 16 คนจะไม่สามารถย้ายพรรคได้ และกรณี ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ ที่ย้ายพรรค จะคำนวณอย่างไรไปอยู่ในส่วนไหนกับพรรคใหม่

“สติธร” ประเมินคดีที่หนักที่สุดกับอนาคตใหม่ คือ คดีกล่าวหาล้มล้างหรือ เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ศาลรธน.รับคำร้องไปแล้วเพราะขั้นตอนยุบพรรคทำได้ทันทีหากศาลมีคำสั่ง ขณะที่ คดีเงินกู้ 100 ล้าน หรือ คดีเงินบริจาค ถ้าจะเข้าสู่การยุบพรรค ต้องทำถึงสองขยัก

ชะตากรรมของ “ธนาธร”และพรรคอนาคตใหม่จะไปสู่ทิศทางใด อีกไม่นานจะได้รู้กัน