posttoday

เดินรอยตาม "บรรหาร" ชาติไทยพัฒนาไม่เป็นศัตรูใคร

10 มีนาคม 2562

เปิดใจ "กัญจนา ศิลปอาชา" ในวันที่ต้องทำหน้าที่ "หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา" สู้ศึกเลือกตั้ง สืบทอดเจตนารมณ์ของ "บรรหาร" ผู้ล่วงลับ

เปิดใจ "กัญจนา ศิลปอาชา" ในวันที่ต้องทำหน้าที่ "หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา" สู้ศึกเลือกตั้ง สืบทอดเจตนารมณ์ของ "บรรหาร" ผู้ล่วงลับ

********************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

บนเวทีปราศรัยทุกจังหวัดที่ “กัญจนา-วราวุธ” ศิลปอาชา เดินทางไปหาเสียง คำพูดที่ 2 พี่น้องจากเมืองสุพรรณบุรีมักพูดอยู่เสมอคือ “ลูกพ่อบรรหาร”

ไม่ใช่แค่บารมีของเตี่ยที่แม้จะเสียชีวิตไปเกือบ 2 ปีที่ยังคงเป็นใบเบิกทางให้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงความเป็น “มังกรเติ้ง” ที่ยังอยู่ในใจของประชาชนในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย ผู้ซึ่งทำให้ จ.สุพรรณบุรี ขึ้นชื่อลือชาเรื่อง “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี” จนมีคำกล่าวว่า เมื่อนั่งรถเข้า จ.สุพรรณบุรี แล้วรู้สึกได้ถึงความเจริญที่น่าตื่นตะลึง

ในวันที่พรรคชาติไทย กลายมาเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) โดยมีหัวหน้าพรรคชื่อ “กัญจนา ศิลปอาชา” หรือ “หนูนา” ต้องลงสนามการเมืองแข่งขันการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ขาดพ่อผู้เป็นเสาหลักและมังกรการเมืองคอยชี้แนะ ภาระอันหนักอึ้งจึงมาตกอยู่ที่ลูกสาวคนโตอย่าง “หนูนา”

กัญจนา ยอมรับว่าช่วงชีวิตที่พ่อเป็นนายกรัฐมนตรี กับวันนี้ที่เธอเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา มีความแตกต่าง มีหน้าที่ที่ต้องทำโดยเฉพาะการลงพื้นที่ขอคะแนนเสียงจากประชาชน

“ตอนพ่อเป็นนายกฯ แน่นอนว่าพ่ออยู่ในที่สูง มรสุมการเมืองมีมากมาย คนที่เป็นครอบครัวต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอดีว่าช่วงนั้นเราก็เป็น สส.สมัยแรกด้วย สิ่งที่เราทำตอนนั้นก็คือเป็นเงาเคียงข้างพ่อตลอด ติดตามพ่อ คอยให้กำลังใจพ่อ ประเด็นที่พ่อถูกโจมตีแล้วเราชี้แจงได้เราจะทำทันทีทั้งในสภาและนอกสภา

นั่นคือชีวิตของเราตอนที่พ่อเป็นนายกฯ แต่ตอนนี้เราไม่มีพ่อแล้ว เราต้องมาเป็นผู้นำเอง ความแตกต่างก็คือเราไม่มีใครมาปกป้องเราแล้ว แต่อย่างหนึ่งคือเราไม่ได้เป็นตัวเด่น เราเป็นคนธรรมดา พรรคเราไม่ได้ใหญ่ เราไม่ได้ตกเป็นเป้าโจมตีมาก แต่เราไม่มีเกราะแล้วเราต้องอยู่ด้วยตัวเราเอง

ตอนนี้ไม่มีใครชี้แนะอะไรให้เราอีกแล้ว ต้องอาศัยประสบการณ์ต่างๆ ที่เราสะสมมาในการกำหนดก้าวเดินแต่ละก้าวของเราต่อไป และก็ต้องระมัดระวังให้ดีเพราะว่าเราต้องคุ้มครองตัวเราเองและสมาชิกพรรคทุกคน แต่ไม่ได้รู้สึกหนักใจอะไรนะ เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่คิดว่าใครเป็นศัตรู พอเราไม่คิดว่าใครเป็นศัตรูมันก็เป็นการกำหนดพฤติกรรมของเราออกมาไม่สร้างศัตรู พอเราไม่สร้างศัตรูก็คงไม่มีใครอยากจะมาเป็นศัตรูอะไรกับเรา เพราะฉะนั้นพฤติกรรมที่เราไม่สร้างศัตรูก็เป็นเกราะป้องกันตัวเราเองโดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรมาก”

แต่ถึงชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ความเป็นลูกสาวมังกรจึงไม่ได้คิดเรื่องความกดดันจากผลงานที่พ่อได้สร้างไว้

“จริงๆ ไม่กดดันอะไรเลย เพราะว่าเป็นคนที่ทำอะไรก็พยายามทำอย่างเต็มที่ แล้วก็ไม่ได้หวังผลเพราะว่าผลมันเกิดจากเหตุและปัจจัยหลายอย่างนอกจากความสามารถของเรา หน้าที่ของเราคือทำให้เต็มที่และเต็มศักยภาพ ส่วนผลให้วางไว้ ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปหวัง ตอบได้เลยว่าไม่เกิดความกดดันอะไรทั้งสิ้น

ตราบใดที่เราไม่ประมาท และพยายามเต็มที่ โดยใช้บทเรียนที่พ่อได้เคยสอนเรา คือ วิธีสอนของพ่อ พ่อไม่เคยมานั่งบอกว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่บุคลิกของนายบรรหาร แต่พ่อจะทำให้ดู แล้วเราก็เห็นจากที่พ่อทำ เราก็จดจำสิ่งที่พ่อทำ บุคลิกความเป็นพ่อ จุดยืนของพ่อ แนวคิดของพ่อ เราจดจำเป็นบทเรียนมาสืบสานต่อ จุดยืนของเราคือสานต่อในสิ่งที่พ่อทำไว้เท่าที่ความเป็นลูกจะทำได้”

เดินรอยตาม "บรรหาร" ชาติไทยพัฒนาไม่เป็นศัตรูใคร

การสูญเสีย “บรรหาร” หัวเรือหลักอาจทำให้อดีต สส.หลายคนไม่มั่นใจ และย้ายไปพรรคอื่น กัญจนา มองปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง เพราะการย้ายพรรคขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน มีย้ายออกไปก็มีจากพรรคอื่นย้ายเข้ามาเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องการย้ายพรรคของ สส.เป็นเรื่องปกติในการเมือง

“ก็ต้องดูผลงานหลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้แล้วเราได้เป็นผู้แทนราษฎรได้มีบทบาททางการเมือง เพราะว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไม่มีพ่อบรรหาร เป็นการพิสูจน์บทบาทของศิลปอาชาในยามที่ไม่มีพ่อบรรหาร ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะดีกว่า เอาแค่ว่าสามารถทำได้ใกล้ๆ ที่พ่อเคยทำไว้ก็เก่งมากแล้ว แต่จะแย่กว่าหรืออะไรอย่าเพิ่งตัดสินเลย ให้ดูผลงานหลังจากนี้ก่อน” กัญจนา กล่าว

ไม่เฉพาะแค่การเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อลงเลือกตั้งเท่านั้น ในการหาเสียงแต่ละจังหวัด “กัญจนา” จะเดินทางไปพบปะประชาชนเพื่อขอคะแนนเองทุกครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อเดินทางลงพื้นที่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี รถทีมงานถูกข่มขู่ ถูกยิงลูกแก้วใส่กระจกหน้ารถตู้ เธอมองโลกในแง่ดีว่าเป็นอุบัติเหตุ

“ถ้าเป็นอุบัติเหตุก็สามารถเกิดได้กับรถทุกประเภท ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นรถของพรรคการเมืองในการหาเสียง ไม่กังวลใจ เพราะเกิดขึ้นได้บนท้องถนน เป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เราต้องมีสติประคับประคองเพื่อรองรับเหตุการณ์นั้นให้ได้ ไม่กังวลอะไร”

หรือแม้แต่การที่มีตำรวจนอกเครื่องแบบและทหาร มาคอยตามเฝ้าดูการลงพื้นที่ “กัญจนา” ก็ไม่ได้โวยวาย

“อบอุ่นดีค่ะ จะได้ช่วยดูแลอะไรต่างๆ (หัวเราะ) บางทีขึ้นเวทีปราศรัยก็จะขอบคุณด้วยซ้ำ เพราะเขาต้องมาทำตามหน้าที่ เขาก็เป็นประชาชนคนหนึ่งอุตส่าห์เสียสละกำลังพลมาดูแล เราก็รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำไป ส่วนตัวแล้วยินดีมาก”

เมื่อถามถึงเรื่องการเมืองซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง “กัญจนา” กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า ทุกพรรคคงเร่งออกพื้นที่หนักขึ้น ถี่ขึ้น ถ้ามีนโยบายอะไรที่คิดว่าเด็ดๆ เก๋าๆ โค้งสุดท้ายนี้ก็คงจะปล่อยออกมากันเต็มเม็ดเต็มหน่วยในทุกพรรค

“ส่วนตัวเองก็รู้สึกขำนิดหนึ่งที่หลายคนบอกว่าช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายสิ่งที่ไม่คิดว่านักการเมืองจะทำได้ก็จะทำกันในหลายๆ พรรค ซึ่งก็จะเห็นกันได้ในหน้าหนังสือพิมพ์ ตัวกัญจนาเองก็อาจจะต้องทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนคราวนี้ แต่ก็เป็นอะไรที่มองแล้วเป็นสีสันการเมือง โค้งสุดท้ายก็คงจะต้องเต็มที่ในทุกพรรคการเมือง”

ส่วนหลังเลือกตั้งแล้วนั้น “หนูนา” ออกตัวว่าพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ใช่พรรคใหญ่ และคงต้องเฝ้าดูการเลือกตั้ง แล้วก็ลุ้นว่าจะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าสู่สภาในนามพรรคมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน

“คือเราไม่ใช่พรรคใหญ่ ก็ต้องดูว่าพรรคใหญ่ที่เขาได้อันดับ 1 และอันดับ 2 เขาจะเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกันอย่างไร เราก็ต้องคอยเฝ้าดู เป็นบทบาทของเราหลังการเลือกตั้ง”

บางเวทีที่ขึ้นปราศรัย กัญจนา เคยประกาศกับประชาชนที่มารับฟังนโยบายของพรรคว่า ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อจะมาเป็นฝ่ายค้าน เพราะการเป็นรัฐบาลสามารถนำนโยบายที่ทางพรรคหาเสียงกับประชาชนไปปฏิบัติ สามารถนำความเดือดร้อนของชาวบ้านไปแก้ไข

ถ้ามองข้ามช็อตไปหลังเลือกตั้ง หลายคนจึงเชื่อว่ามีแนวโน้มที่พรรคชาติไทยพัฒนา มีโอกาสสูงที่จะร่วมรัฐบาล ถามถึงกระทรวงที่ทางพรรคมองไว้ “กัญจนา” ตอบทันทีว่า

“อย่างที่บอกว่าเราเป็นพรรคที่ขนาดไม่ใหญ่ไม่กล้าไปคิดถึงกระทรวงอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้คิดถึงแค่ว่าตอนนี้จะรณรงค์หาเสียงอย่างไรให้เป็นที่ประทับใจพี่น้องประชาชนแล้วเลือกผู้สมัครของพรรคเราให้มากที่สุด ยังไม่มองไปถึงจุดนั้นเลย คือการจะมองไปถึงกระทรวงอะไรหมายความว่าเราต้องได้รับการติดต่อให้ไปร่วมรัฐบาล ซึ่งยังไม่กล้ามองไปถึงตรงนั้น ถ้าให้ตอบก็คือ ยังไม่คิด”

แต่ถ้าถามถึง จ.สุพรรณบุรี น้ำเสียงของกัญจนา ขึงขังในทันที “ปกติเป็นคนที่ไม่ตอบอะไรที่รู้สึกเกินตัว แต่สำหรับสุพรรณบุรีเป็นบ้านเกิดแล้วก็เป็นจังหวัดที่พ่อบรรหารในนามพรรคชาติไทยพัฒนาดูแลและทำให้เกิดความเจริญต่อเนื่องยาวนานมา 40 กว่าปี ซึ่งผลงานทั้งหลายอยู่ในใจคนสุพรรณทั้งหมด เพราะฉะนั้นขอตอบว่าค่อนข้างมั่นใจจะได้ สส.ทั้งหมดครบทั้ง 4 เขต เพราะพรรคอื่นจะเข้ามาในสุพรรณบุรีไม่ใช่ง่าย”

เดินรอยตาม "บรรหาร" ชาติไทยพัฒนาไม่เป็นศัตรูใคร

นอกจาก จ.สุพรรณบุรี แล้ว ในการลงพื้นที่หาเสียงมีประชาชนให้การต้อนรับพรรคชาติไทยพัฒนาอย่างอบอุ่น กัญจนา วิเคราะห์เหตุผลจากเสียงตอบรับนี้ว่า อย่างแรกคือน่าจะเป็นที่ตัวผู้สมัคร ซึ่งพรรคได้คัดเลือกในแต่ละพื้นที่ว่าเป็นบุคคลที่มีความนิยมในพื้นที่พอสมควร มีความตั้งใจจริงที่อยากจะทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่นั้น เป็นที่รู้จัก และยอมรับ คือน่าจะเป็นที่ผู้สมัครที่ได้คัดเลือกว่าเป็นที่ได้รับความนิยมพอสมควรในพื้นที่นั้น

ขณะที่เหตุผลถัดไปก็น่าจะเป็นจุดยืนของพรรคที่ไม่เป็นศัตรูกับใคร เวลาให้สัมภาษณ์ บุคคลในพรรคให้สัมภาษณ์หรือเวลาปราศรัยอะไร ก็ไม่เคยว่าใคร หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งใดๆ ในสังคมจะออกไปในเชิงอ่อนน้อมเป็นหลัก เป็นบุคลิกของพรรคมาแต่ไหนแต่ไรก็น่าจะเป็นเหตุผลอีกอันหนึ่ง

อีกประเด็นคือน่าจะเป็นนโยบายของพรรคเราที่เกิดจากการได้พบปะกับประชาชนในทุกกลุ่มอาชีพเพื่อรับฟังปัญหาความต้องการแล้วนำมากลั่นกรองเป็นนโยบายไปนำเสนอเขา ก็น่าจะได้รับการตอบรับในเรื่องนโยบายของพรรคพอสมควร

ถัดไปก็น่าจะเป็นเรื่องในช่วงระยะเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีการเลือกตั้งเลย บรรยากาศที่มีผู้สมัครของพรรคการเมืองไปหาเสียงมันขาดหายไปนาน ประชาชนในพื้นที่ก็เลยค่อนข้างต้อนรับกิจกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากที่หายไปนานเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่พรรคชาติไทยพัฒนาเท่านั้น แต่หลายพรรคการเมืองก็ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้นๆ เป็นอย่างดี คงเป็นเพราะว่ามันขาดหายบรรยากาศแบบนี้มานาน

“ส่วนหนึ่งต้องขอยึดโยงว่าเป็นความผูกพันที่พ่อบรรหารมีในตัวเราและในพรรคของเรา จะเห็นได้ว่าเวลาเราลงพื้นที่หลายพื้นที่มาก ประชาชนจะถามถึงพ่อ นี่คือลูกพ่อบรรหาร ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ทั้งหมดนี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงได้รับการต้อนรับอย่างดีพอควรในพื้นที่ต่างๆ ที่เราลง”

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์รายวัน หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา คาดหวังว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อประโยชน์จะได้ตกอยู่กับประชาชน

“หวังว่าเราจะได้รัฐบาลและได้ฝ่ายค้านที่มีการถ่วงดุลกันอย่างเหมาะสม หวังว่า พรรคชาติไทยพัฒนาจะได้ สส.เข้าสภาในนามของพรรคในจำนวนที่น่าพอใจ แล้วก็สามารถนำเอานโยบายของพรรคที่ได้หาเสียงไปทำเป็นภาคปฏิบัติแก้ไขปัญหาให้ประชาชนที่ช่วงหาเสียงเราได้ไปพบเจอเขา ไปบอกนโยบายกับเขา หวังว่าจะได้นำนโยบายของเราไปทำเป็นภาคปฏิบัติได้สัมฤทธิผล ก็หวังว่าบ้านเมืองจะเรียบร้อยก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวงไปได้อย่างสงบสุข มีนโยบายที่แก้ไขปัญหาประชาชนได้อย่างแท้จริง มีฝ่ายค้านที่คอยตรวจสอบรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก่อนอื่นคือต้องหวังว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นที่ยอมรับก่อน” กัญจนา กล่าวทิ้งท้าย