posttoday

ผมเห็นสัญญาณดี

23 ตุลาคม 2553

ไมตรีจิต เหลืองแดง

ไมตรีจิต เหลืองแดง

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

ผมเห็นสัญญาณดี ศ.คณิต ณ นคร

การปรองดองดูเหมือนจะซาลง หลีกให้กับปัญหาน้ำท่วมที่กลายเป็นวาระแห่งชาติขณะนี้   กระนั้น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังเดินหน้าในบทบาท "คนกลาง"พบปะหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ อย่างต่อเนื่อง การ "ปรองดอง"จึงยังเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งห้วงที่ผ่านมาข่าวหลายกระแสระบุว่า ทุกกลุ่มอำนาจทั้งเสื้อแดง กองทัพ รัฐบาล ใช้เวที "คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ"หรือ คอป. เป็นที่เจรจาสร้างความสมานฉันท์  แม้ไม่มีความคืบหน้า แต่การปรองดองก็ได้ก่อรูปเป็นปราสาททรายขึ้น
         
ศ.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการ คอป.บอกว่า หลังจาก คอป.ทำงานมา 3 เดือนกว่า ได้พบปะกับผู้แทนกลุ่มต่างๆ เพื่อเดินหน้าหาความจริงแรกเริ่มก็มีแรงเสียดทานบ้าง แต่วันนี้บรรยากาศเริ่มคลี่คลาย และเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น
         
"ตอนนี้มีหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวในแนวทางนี้ ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะการแก้ปัญหานี้ไม่ใช่ชุดผมเท่านั้น แต่เป็นทุกภาคส่วน รัฐ เอกชนสื่อ ผมว่าเป็นการประสานไมตรีจิตมากกว่า คล้ายๆกับว่ามันต้องหลอมเข้าสู่จุดนั้น และถ้าใช้ คอป.เป็นประโยชน์เราก็ยินดีที่ให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพราะการแก้ปัญหานี้ไม่ใช่มาแก้ปัญหาของผมหรือคุณ แต่แก้ปัญหาของประเทศ
         
"ผมมองโลกในแง่ดีว่า เมื่อเวลามันผ่านไปซักระยะหนึ่งมันจะมีความรู้สึกที่ดีขึ้น เพราะการที่เขาพูดเรื่องปรองดองกันหลายกลุ่มทำให้ผมเชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ผมว่าการปรองดอง เราควรพูดในลักษณะที่ว่า เราจะแก้ปัญหากันด้วยไมตรีจิตอย่างไร เพราะคำว่าปรองดองบางคนก็บอกว่ามันเกี้ยเซี้ยกัน ดังนั้น การจะมีไมตรีจิตต่อกันมันต้องรู้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์"
         
ฝันของประธาน คอป. เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน ที่อยากเห็นประเทศกลับมามีความสงบสุข จะได้ขับเคลื่อนประเทศให้ลุล่วงไปตามที่ถูกที่ควร แต่ก่อนจะไปสู่จุดนั้น ควรมีการสอบข้อเท็จจริงให้เห็นก่อนว่า ช่วงเหตุการณ์ชุมนุมและทหารเข้ากระชับพื้นที่ตลอด 68 วันที่ผ่านมา ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรเพื่อให้สังคมสรุปบทเรียน
        
แต่หลายคนบอกว่า อย่าไปสืบสวนมากเดี๋ยวไปรื้อแผล...คณิตแย้งว่า สังคมไทยไม่ควรมาบอกว่าลืมๆ กันซะ คิดอย่างนั้นไม่ได้ คนไทยชอบลืมง่ายกับเรื่องเหล่านี้ เราต้องศึกษาเพื่อสรุปบทเรียนป้องกันไม่ให้เกิดลักษณะอย่างนี้ในอนาคตขึ้นถ้าเราไม่รู้ความจริงมันก็จะเกิดปัญหาอีก
         
"ถ้าทุกภาคส่วนจะร่วมมือกับเราก็เป็นไปได้เพราะทุกฝ่ายอย่างทหารเองเขาก็คงจะเข็ดขยาดละมั้ง แต่ถ้าภาคส่วนอื่นเข้มแข็งกันมันก็ลำบาก ใครจะคิดว่าตอนเกิดพฤษภาทมิฬแล้วมันจะเกิดขึ้นอีก ไม่มีใครคิดหรอก อย่างสมัยที่ผมเรียนในประเทศเยอรมนี ก็ไม่คิดว่าคนไทย จะฆ่ากันใน 6 ตุลา 2519 อย่างน่าอเนจอนาถมาก
         
ประธาน คอป. บอกว่า การทำงานของคอป.ต้องพบกับแกนนำทุกฝ่าย เสื้อแดงกองทัพ หรือรัฐบาล ไม่ใช่แกนนำเสื้อแดงอย่างเดียว ปัญหาความขัดแย้งต้องแก้กันทุกส่วนไม่ใช่ให้เป็นภาระของใคร แต่การที่สังคมไทย เป็นสังคมครอบครัว เรียกพี่ ป้า น้า อา ต่างจากสังคมต่างประเทศก็มีข้อดี คือ จะแก้ปัญหาการบาดหมางได้ง่าย ที่ไม่ดีคือ จะไม่รู้จักโต
         
สำหรับการทำงานของ คอป.ที่ผ่านมามีการตั้งคณะอนุกรรมการ 3 ชุด ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการตรวจสอบความจริงมีสมชาย หอมละออ เป็นประธาน คณะอนุกรรมการเยียวยา มี นพ.รณชัย คงสกนธ์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งคืบหน้าไปค่อนข้างมาก

ส่วนคณะอนุกรรมการวิชาการศึกษาวิจัยมีนายสุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล คณบดีนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะมาดูงานด้านกฎหมาย หัวใจสำคัญคือ การตรวจสอบความจริงอาจารย์คณิตยอมรับว่า แม้จะประชุมกันทุกสัปดาห์และเดินสายหาข้อมูลเชิงลึก แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ที่สำคัญต้องตรวจสอบข้อมูลที่ได้มาให้รอบด้านก่อน
         
ทั้งหมดคณิตย้ำว่า คอป.จะรายงานผลงานต่อสาธารณชนเป็นระยะ ส่วนรัฐบาล คอป.จะรายงานให้ทราบทุกๆ 6 เดือน ซึ่งจะตกเดือนม.ค. แต่คิดว่าในเดือน ม.ค. จะยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม
         
"คงคาดหวังยาก แต่เราจะบอกไปว่า เราทำอะไรไปบ้าง สิ่งที่เราทำไปเราก็จะเสนอไปว่ารัฐควรจะทำอะไร ครั้งที่แล้วที่เราเสนอเรื่องการตีตรวน ก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเท่าที่ควรรัฐบาลเขาพูดเพียงว่า ถ้าไม่มีตรวนแล้วจะใช้อะไรมาแทน มันไม่ใช่นะ"
         
อาจารย์คณิตบอกว่า ที่ผ่านมา คอป.ได้เดินทางไป จ.เชียงใหม่ เพื่อรับฟังความเห็น โดยพบกลุ่มเสื้อแดงตอนเช้า เสื้อเหลืองตอนบ่ายได้รับการตอบรับด้วยดี ทราบว่าวันนี้ทั้งสองกลุ่มสามารถมานั่งคุยได้แล้วและจากนี้มีคิวไปจ.อุดรธานี ซึ่งในการลงพื้นที่ หลายคนห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่ คอป.นำไมตรีจิตไปพบจึงไม่มีปัญหา
         
ผลจากการรับฟังความเห็น ประธานคอป.สรุปว่า ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า ไม่เอาด้วยกับการรัฐประหาร เพราะไม่ช่วยแก้ปัญหาประเทศ และยิ่งสร้างปัญหาให้สลับซับซ้อนขึ้น
         
"การรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เมื่อยึดแล้วมันก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร บ้านเรายึดอำนาจทีไรสิ่งหนึ่งที่ผมพบตลอดคือ จะอ้างเรื่องการทุจริตตลอด เช่น มีการทุจริตมโหฬารที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ตอนนี้ 3-4 ปีแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นที่ประจักษ์ แสดงว่ากระบวนการยุติธรรมเราไม่ได้เรื่อง อย่างสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ก็ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ทั้งที่ถ้าสามารถปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะองค์กรตำรวจที่สามารถทำเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้"

การทำงานของ คอป. จึงมุ่งเน้นสร้างองค์ความรู้ ป้องกันไม่ให้มีการรัฐประหารโดยจะมีการวิจัยเรื่องกระบวนการยุติธรรมเพื่อเป็นประโยชน์ในอนาคต
         
"เราคิดว่าควรจะพอได้แล้วกับการรัฐประหาร"เป็นบทสรุปที่ชัดเจนขณะนี้

ช่วยได้แค่อ้อมๆ

ผมเห็นสัญญาณดี

หลัง วีระ มุสิกพงศ์ ประธานองค์กรเสื้อแดง จำเลยคดีก่อการร้าย ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากศาล ทำให้แกนนำ นปช. 10 กว่าคนที่ยังติดอยู่ในคุกต่างมีความหวัง
         
ซีกนักการเมืองสีแดงพยายามหาช่องทางช่วยแกนนำ นปช. ไม่ว่า ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ , ขวัญชัย ไพรพนา, เจ๋ง ดอกจิก, นิสิต สินธุไพร ,วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ให้ได้รับการประกันตัว โดยให้สายพิราบเดินสายคุยกับกองทัพและรัฐบาล เพื่อดึงเป็น "พยาน"ให้กับแกนนำเสื้อแดงในการขอยื่นประกันตัวเพื่อให้แกนนำเหล่านี้ออกมาทำภารกิจยุติความขัดแย้ง หลังเกิดเหตุระเบิดหลายพื้นที่ซึ่งมีหลักฐานโยงว่าเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์เริ่มใช้อาวุธต่อสู้กับรัฐ เป็นโมเดลกับที่วีระ ขอให้ "กอร์ปศักดิ์  สภาวสุ" เลขาธิการนายกฯ เป็นพยานเพื่อยืนยันว่า หัวขบวนวีระ เป็นสายพิราบ หาใช่สายเหยี่ยวไม่
         
สำหรับ ศ.คณิต และกรรมการ คอป.ที่ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ได้รับการยอมรับถึงความเป็นอิสระ ทำให้แกนนำสีแดงติดต่อขอให้เป็นคนกลางเพื่อเดินตามสูตรขอประกันตัว "วีระ"
         
เขาเล่าว่า เมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงติดต่อขอพูดคุยโดยได้ยกคณะมาหาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ฝ่ายแกนนำเสื้อแดงมาเกือบ10 คันรถ เล่นเอา รปภ.มหาวิทยาลัยตกใจมีแกนนำ เช่น วรวุฒิ วิชัยดิษฐ คารมพลทะกลาง ทนายความ โดยระบายความในใจว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม เช่น ไม่มีการชันสูตรพลิกศพคนตาย ไม่มีการไต่สวนในศาล ซึ่งได้บอกว่าต้องดูว่าเหตุเกิดจากอะไร ถ้าติดใจในกระบวนการยุติธรรมก็ต้องไปว่าที่นั่น
         
"เขาห่วงคนที่ถูกกุมขังอยู่ในเรือนจำเขาคิดว่า ผมจะช่วยอะไรเขาได้ในการทำงานของกระบวนการยุติธรรม ผมก็บอกช่วยไม่ได้ (ลากเสียง) แต่ผมจะไปทำอะไรได้ที่ทำได้ก็คือ เขียนหนังสือให้ความรู้คนเพราะถ้าเราออกไปในลักษณะของคอป.มากไปก็ไม่ดี แต่ถ้าออกไปในฐานะที่ผมเป็นนักวิชาการก็ไม่มีใครว่าอะไร"
         
ประธาน คอป. เล่าว่า แกนนำจะได้รับการปล่อยตัวหรือไม่ เป็นหน้าที่ของศาล ไม่มีใครเข้าไปยุ่งอะไรได้ แต่สิ่งที่เขาช่วยได้มากสุดคือ การให้ความรู้ทางวิชาการ ซึ่งกำลังเขียนบทความชิ้นหนึ่งเร็วๆ นี้ เรื่องการจับการปล่อยชั่วคราว มีหลักคิดใหญ่ๆ คือ การจับ การควบคุม การขัง การปล่อยตัวชั่วคราวที่หลายคนยังไม่เข้าใจเท่าที่ควร ไปแยกส่วนกันทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน
         
"หมายจับกับหมายขังมันเป็นเหตุเดียวกันผมจะให้ความรู้ว่า เหตุออกหมายจับ ที่จริงเราสามารถแบ่งแยกได้ตามกฎหมายมี 4 อย่าง 1.ความร้ายแรงของความผิด ซึ่งเราว่าของมันจิ๊บจ๊อยมาก ที่บอกต้องโทษเกิน 3 ปีมันไม่ใช่ 2.เหตุจะหลบหนี 3.เหตุจะไปยุ่งกับพยานหลักฐาน เช่น ไปเก็บพยาน และ4.ก่อเหตุร้ายประการอื่น
        
 เขาบอกว่า ความจริงใน 4 เหตุทั้งหมด มีเหตุหลักกับเหตุรอง คือ หลบหนี ยุ่งเหยิงก่อเหตุร้าย ส่วนนี้เป็นเหตุหลักที่ให้ประกันไม่ได้ ขณะที่เหตุความผิดร้ายแรงเป็นเหตุรองซึ่งสามารถประกันได้ เพราะทุกคนได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะพิพากษา แต่ของเรายึดหลักทั้ง 4 เหตุเอามารวมกัน ไม่แยกแยะ ทั้งที่มันแยกแยะได้
         
"ที่ผมกำลังเขียนบทความ ถ้าใครอ่านแล้วเห็นด้วยกับผม ก็อาจช่วยแก้ปัญหาได้มั้ง คือ การที่รัฐอ้างว่า ขังคนเพราะเหตุความผิดร้ายแรง มันต้องไม่ใช่ อย่างเดียวนะ มันต้องบอกว่า ร้ายแรงจริงแล้วคุณทำท่าจะหลบหนีด้วย"

รอดได้เพราะหลักดี

ผมเห็นสัญญาณดี

การมารับงานใหญ่ของคณิต ณ นครเพื่อค้นหาความจริง "พฤษภาวิปโยค"และสานสู่การปรองดอง ไม่ต่างจากการยืนอยู่บนเขาควายความขัดแย้ง ที่ต้องถูกสึนามิของความไม่พอใจปะทะเป็นธรรมดา
         
ไม่ว่าช่วงมารับงานใหม่ๆ จตุพร พรหมพันธุ์ ขุดเรื่องเก่ามาโจมตีว่า คณิตเข้าข้างพรรคประชาธิปัตย์ที่ขณะนั้นเขาเป็นอัยการสูงสุด และสั่งไม่ฟ้องชวน หลีกภัย และสุเทพเทือกสุบรรณ ในคดี ส.ป.ก.4-01 ในปี 2537
         
ทั้งที่หลังเกษียณ คณิตไม่ได้มาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับมาร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่พวกประชาธิปัตย์ ทว่า ที่สุดก็เป็นเกมดิสเครดิตเพราะจตุพรที่ออกมาซัดคณิต ต่อมาก็ขอเข้าพบคณิตเพื่อขอให้ช่วยแกนนำ นปช.ในคุกกระนั้นคณิตต้องชี้แจงเรื่องนี้อีกครั้งยืนยันถึงความเป็นกลาง และมีหลักในการทำงาน
         
นี่เป็นแค่การ "รับน้อง"เบาะๆ ที่เข้ามาทำงานในศูนย์กลางความขัดแย้ง ซึ่งหลังจากคอป.สรุปผลสอบในอนาคต ไม่ว่าจะถูกใจใครหรือไม่ เชื่อว่าจะมีดอกไม้และก้อนอิฐถล่มอีกครั้ง
         
ความจริงนี่ไม่ใช่งานแรกที่เขาต้องรับแรงเสียดทาน ก่อนหน้านี้คณิตเคยได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกตรวจสอบเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ครั้งที่สองเป็นประธานสอบคดีฆ่าตัดตอนในการทำสงครามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ
         
อาจารย์คณิตยืนยันว่า การทำงานของเขาที่ผ่านมา มีฟาง 2 เส้นที่ต้องพิงนั่นคือ ความน่าเชื่อถือ และหลักการ ถ้าเส้นใดเส้นหนึ่งขาด การเมืองเอาเขาตายแน่ๆ
         
"ผมคิดว่า ผมพอมีทั้งเรื่องความน่าเชื่อถืออยู่ ส่วนหลักการ ผมก็หลักดีนะ ผมก็เรียนมาเยอะนะ พอมาเจอคดี ส.ป.ก. ซึ่งผมมีเรื่องเดียวที่ถูกพูด เพราะผมเป็นคนใต้ก็ถูกเหมาหมดว่าเป็นพวกประชาธิปัตย์ ผมไม่ได้ทำงานชุ่ยๆ และผมไม่ได้ช่วยพรรคประชาธิปัตย์แม้แต่น้อย คนไม่เข้าใจเรื่องนี้ ที่สุดผมก็ผ่านมาได้ เพราะยึดสองหลักนี้"
        
เขาเท้าความว่า ช่วงที่ได้รับทาบทามให้มาทำงานปรองดอง คนแรกที่ได้ติดต่อพบคือ จาตุรนต์ ฉายแสง นักการเมืองเสื้อแดงสายพิราบ โดยขอให้มาร่วมทำงานใน คอป.แต่จาตุรนต์ไม่เอาด้วย เพราะเห็นว่าคณะกรรมการชุดนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขา เนื่องจากรัฐบาลเป็นฝ่ายตั้ง
         
"เขาก็พูดคล้ายๆ กับว่า ไม่ขัดข้องอะไรเท่าไร ถ้าจะมีอะไรให้ช่วยเหลือนะ จากนั้นผมก็ไปพบกับคุณวีระ มุสิกพงศ์ ที่ค่ายนเรศวร ซึ่งเขาก็ดีนะ และผมก็ยังคิดว่า เท่าที่ผมดูบทบาทคุณวีระ ที่ผมไปพบด้วยตนเองและที่ผมติดตามข่าวที่ท่านมาคุยกับนายกฯ ตอนเจรจา 3 คน ผมว่าเขาก็ลีเบอเริลพอสมควรนะ ฉะนั้นที่เขาได้รับประกันตัว ก็ฟังได้นะ"
         
"ตอนนี้ก็ยังได้มีโอกาสพบกันในบางโอกาสอยู่ จากนั้นผมก็มาพบคุณสนธิ  ลิ้มทองกุล และมาพบกับทหาร ซึ่งแทนที่ผม  จะไปพบท่านแม่ทัพ ผมไปพบกับปลัดกระทรวงกลาโหมแทน เพราะเห็นว่าปลัดกระทรวงนี่ใหญ่ที่สุดในกระทรวงกลาโหมไม่ใช่ท่านแม่ทัพ แต่เขาบอกว่าไม่จริง"
         
อาจารย์คณิตตั้งความหวัง แม้ คอป.จะรับผิดชอบทุกอย่างในประเทศนี้ไม่ได้แต่ก็อยากทำให้เกิดความสงบขึ้นมา ก่อนจะทิ้งท้ายในบทสนทนาด้วยคำพูดติดตลก
         
"นี่นะเรื่องทั้งหมดคนใต้ทั้งนั้น แกนนำก็เป็นคนใต้ (ณัฐวุฒิ วีระ จตุพร วิภูแถลงวรวุฒิ) แล้วนี่ก็เอาคนใต้อย่างผมเข้ามาช่วยแก้" ยังไม่นับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยงยุทธวิชัยดิษฐ ก็เป็นคนใต้อีกด้วยนะอาจารย์??