posttoday

"ผู้กองมนัส" แทงกั๊กซบ "พลังประชารัฐ" ชูปรองดอง สลายสี สามัคคีเพื่อชาติ

31 กรกฎาคม 2561

เปิดใจ "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" ที่กำลังเนื้อหอมในวงการการเมือง และเป็นที่จับตาของทุกกลุ่ม

เปิดใจ "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" ที่กำลังเนื้อหอมในวงการการเมือง และเป็นที่จับตาของทุกกลุ่ม

**************************

โดย...อักษรา ปิ่นนราสกุล

เมื่อการเมืองเริ่มมีการขยับฟันเฟืองจากส่วนกลาง ย่อมส่งผลกระทบถึงระบบฟันเฟืองรอบๆ ทั่วประเทศ บุคคลที่เป็นคีย์แมนทางการเมือง พรรคการเมือง มีการขยับและขับเคลื่อนไปตามๆ กัน จะกล่าวถึงคีย์แมนทางการเมือง หรือบุคคลที่เป็นกุญแจสำคัญทางการเมืองในขณะนี้

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานมูลนิธิธรรมนัสพรหมเผ่าเพื่อการกุศล ลูกหลานเมืองพ่อขุนงำเมือง คนพะเยาโดยกำเนิด กำลังเนื้อหอมในวงการการเมือง และเป็นที่จับตาของทุกกลุ่มอย่างไม่อาจละสายตา และหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า ในอนาคต “พะเยา” อาจจะเติบโตดังเช่น สุพรรณบุรี หรือบุรีรัมย์ จากสายสัมพันธ์ทางการเมืองกับนักการเมืองทุกพรรคการเมือง ผู้ใหญ่ ผู้มากบารมีในแวดวงการเมือง แวดวงธุรกิจ รวมทั้งผู้ใหญ่ใจดีในกระทรวง กรม กองต่างๆ ล้วนไม่มีใครไม่รู้จัก “ผู้กองนัส” ดังนั้นสปอตไลต์ในสนามการเมือง ถนนทุกสายมุ่งมาที่ผู้กองทุกฝีก้าว

ร.อ.ธรรมนัส เปิดเผยมุมมองทางการเมืองว่า การเมืองศตวรรษใหม่ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยส่วนตัวการเมืองในศตวรรษใหม่ในทัศนคติของตัวเอง เป็นสิ่งที่ควรก้าวข้ามความขัดแย้ง ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้ หลีกเลี่ยงจากการปะทะ หลีกเลี่ยงจากความแตกแยก เมื่อแตกแยกกันเกิดอะไรขึ้นไม่มีเลย ประชาชนยังทุกข์ยากเหมือนเดิม นักธุรกิจเอสเอ็มอีล้มหายจากวงการหมด ไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้น

"ได้เดินหน้าทำการเมืองใหม่ โดยการรวมกลุ่มของพลังเล็กๆ ในแต่ละจังหวัดของกลุ่มคนในพื้นที่นั้นๆ รวมตัวกันเข้มแข็ง แล้วเชื่อมโยงรวมตัวเป็นพลังใหญ่ในภายหลัง เป็นแนวคิดและการทำการเมืองของผมในขณะนี้ ซึ่งผมมีความตั้งใจว่า ผมจะทำที่บ้านเกิด (พะเยา) ของผมก่อน บ้านเกิดของผม ซึ่งผมมองว่านักการเมืองรุ่นเก่าๆ ควรจะเลิกได้แล้ว หมายถึงการพักผ่อน แล้วเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มาทำงานการเมือง"

ประธานมูลนิธิธรรมนัสฯ แสดงความเห็นด้วยว่า นักการเมืองรุ่นเก่าที่ผ่านมา อาจไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเท่าที่ควร ไม่ได้หมายถึงใครแต่ควรให้นักการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดนำความเจริญมาสู่ จ.พะเยา ให้ได้มีบทบาทโอกาส ด้วยการเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนสู่สภาใหญ่

นอกจากนี้ การเมืองระดับท้องถิ่นเช่นกัน ควรให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ที่มีความตั้งใจ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ไปปกครองบ้านปกครองเมือง ดังนั้นการเมืองในศตวรรษใหม่ในทัศนคติของตัวเอง "เราต้องเปลี่ยน ก้าวข้ามความแตกแยก นำความสุขความเจริญมาให้พี่น้องอย่างยั่งยืน” แต่ละจังหวัดมีกลุ่มพลังของตัวเอง เป็นกลุ่มพลังที่ขับเคลื่อนการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ

สำหรับการเมืองระดับชาติ ตอนนี้พยายามติดต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่รักบ้านเมือง ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือว่า น่ารวมกลุ่มกัน สร้างอุดมการณ์ของตัวเอง เช่นอย่าง จ.ลำปาง เขาจะมีกลุ่มพลังลำปาง กลุ่มแพร่ก็มีกลุ่มพลังแพร่ กลุ่มน่านก็มีกลุ่มพลังน่าน ส่วนกลุ่ม “พลังพะเยา” หมายความว่า รู้จักสำนึกรักบ้านเกิดของตัวเอง มีความเสียสละเพื่อบ้านเมืองมาพัฒนาบ้านเมือง ส่วนคนที่มีความพร้อมในความรู้ ฐานะการเงิน มาจับมือกันสร้างบ้านแปงเมืองอย่างที่ตัวเองตั้งใจไว้

“ในเรื่องของการตั้งพรรคการเมือง ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นผมสร้างแต่ละท้องถิ่นก่อน โดยรวมตัวในกลุ่มของเราให้เป็นพลังของแต่ละจังหวัดก่อน และเมื่อถึงเวลาเป่านกหวีดปุ๊บ เราก็มารวมกัน ยกตัวอย่าง จังหวัดทางภาคเหนือเรามี 16 จังหวัด ถึงเวลาเรารวมตัวของกลุ่มแต่ละจังหวัดมารวมเป็นหนึ่ง ส่วนการเป็นหนึ่งจะเป็นพรรคการเมืองหรือไม่เป็นพรรคการเมืองเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

ทั้งนี้ ส่วนกระแสว่า ร.อ.ธรรมนัส อาจเข้าร่วมกับ “พลังประชารัฐ” ประเด็นนี้ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวสวนกลับว่า จริงแล้ว กระแสเรื่องพลังประชารัฐเป็นกระแสที่ดังและแรงมากในยุคนี้ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ ในเวลานี้ยังไม่เป็นรูปธรรม เป็นเพียงแต่วจีที่มีการกล่าวออกมาว่าเป็นพรรคที่กลุ่มพี่น้องทหารทำกัน แต่ในข้อเท็จจริงแล้วยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่ว่าการรวมตัวกันของแต่ละกลุ่มก็ยังเป็นการรวมตัวที่เป็นสัญลักษณ์เท่านั้นเอง

ผู้กองนัส ยังมองเทียบเคียงย้อนไปถึงการปฏิวัติปี 2549 สู่การเมืองในปัจจุบันว่า การเมืองในช่วง 12 ปี ตั้งแต่ปฏิวัติครั้งปี 2549 จนถึงปัจจุบัน การเมืองบ้านเราอยู่กับความแตกแยก ทำให้ประเทศชาติถอยหลังทุกเรื่อง สาเหตุที่ทำให้คนไทยจับอาวุธมาห้ำหั่นกันเองมาจากเรื่องการเมืองทั้งนั้น

ขณะเดียวกัน สังคมทราบอยู่แล้วว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้ทำให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยก ขาดความรัก ความสมานสามัคคีกัน จนทำให้เราต้องใช้พื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครเป็นสมรภูมิรบกัน ห้ำหั่นกัน คนไทยหลายชีวิตต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น มีคนไทยที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเอาชีวิตไปจบไว้ที่นั่น แม้กระทั่งนักต่อสู้ประชาธิปไตย และอีกหลายท่านจบชีวิตในห้องขัง

"ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองเราจะต้องเดินหน้า เราเลิกทะเลาะกัน การเมืองไม่ควรจะมีสีต่างๆ ธงชาติไทยมีสามสีที่สง่างาม เสาหลักเราทั้งสามสถาบันคือเสาหลักที่ค้ำบ้านค้ำเมืองให้เดินต่อไปได้” ผู้กองธรรมนัส คาดหวัง

ผู้กองธรรมนัส กล่าวทิ้งท้ายถึงการเมืองไทย พร้อมยกตัวอย่างการช่วยเหลือ 13 หมูป่าฯ ทำให้เห็นว่าคนไทยมีใจรักและเป็นห่วงกัน การเมืองควรเป็นเช่นการรวมใจช่วยเหลือ 13 หมูป่า คนไทยยามมีภัยมีสงครามจะสามัคคีกัน แต่พอบ้านเมืองสงบเรารบกันเอง ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัด คือ กลุ่มที่คนไทยทั้งประเทศต่างก็รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่ช่วยเหลือน้องๆ หมูป่าอะคาเดมี่ทั้ง 13 ชีวิต นั่นหมายความว่า ยามบ้านเมืองวิกฤตคนไทยจะสามัคคีกัน ส่วนตัวเชื่อว่า ปัจจุบันเวลานี้บ้านเมืองเรามีวิกฤตทางการเมือง เราควรสามัคคีกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการเมืองยุคใหม่ กลุ่มใด สิ่งเดียวที่สำคัญอย่างยิ่งยวด คือ “ความรัก สมัครสมาน สามัคคี โดยยึดผลประโยชน์ของชาติ ประชาชน” เป็นที่ตั้ง โดยการยึดโยงและค้ำจุนของ 3 สถาบันหลัก “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”