posttoday

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ชำระอลัชชี ปฎิรูปมหาเถรสมาคม

03 มิถุนายน 2561

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ชำแหละปัญหาสงฆ์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมานานหลายสิบปี ทวีความรุนแรงมากขึ้น แนะเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส อย่าทำแค่เชือดไก่ให้ลิงกลัว

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

วงการสงฆ์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากคดี เงินทอนวัดซึ่งนำมาสู่การปลดฟ้าผ่า 3 เจ้าคุณ พ้นกรรมการมหาเถรสมาคม และถอดถอนสมณศักดิ์สงฆ์ 7 รูป พระผู้ใหญ่หลายรูปเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บางส่วนหลบหนี

ยอดภูเขาน้ำแข็งที่ปรากฏกำลังลุกลามไปสู่ "วิกฤตศรัทธา" พร้อมย้อนตั้งคำถามถึงวัตรปฏิบัติที่กลับหัวกลับหาง มุ่งแสวงหาเงิน อำนาจ และเกียรติยศ จนถึงขั้นเรียกร้องให้สังคายนาวงการผ้าเหลืองครั้งใหญ่

ในฐานะ "ปัญญาชนสยาม" ที่ติดตามความเคลื่อนไหวแวดวงสงฆ์มานาน สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักวิชาการอิสระ เปิดบ้านให้สัมภาษณ์พิเศษโพสต์ทูเดย์ ชี้แจงว่า ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมานานหลายสิบปี นอกจากไม่ได้รับการแก้ไขแล้วสถานการณ์ยังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

"พระเริ่มกะล่อนกันมาตั้งแต่ 30-40 ปี ที่แล้ว สมัยนั้นผมเคยเขียนหนังสือ เรื่อง พระธรรมเจดีย์ พระผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น แต่เราชาวบ้านไม่ได้สนใจพระ เกรงใจผ้าเหลือง ปิดเงียบกันหมด ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ท่านเคยเป็นเจ้าคณะจังหวัดธนบุรี ท่านสั่งทุกวัดจะต้องทำบัญชีเงินวัด เงินส่วนตัว แยกเด็ดขาด ไปหาคนมาสอนทำบัญชี 

ตอนนั้นมีการตรวจบัญชี ผิดครั้งแรกท่านสอนให้ใหม่ ผิดครั้งที่สองภาคทัณฑ์ ผิดครั้งที่สามถอดออกจากเจ้าอาวาสเลย การคณะสงฆ์ ต้องเด็ดขาดแบบนี้ ใช้พระเดชพระคุณ แต่ตอนนี้ไม่ใช้เลย ท่านสิ้นไป 30-40 ปี สิ่งที่ท่านทำไว้ไม่มีใครสานต่อ แล้วคณะสงฆ์จะไม่ซวนเซได้อย่างไร" 

ส.ศิวรักษ์ ขยายความว่า ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์เคยบอกว่าพระมีค่าตัวเพียงแค่บาทเดียว ทำผิดเงินแค่บาทเดียวก็สิ้นความเป็นพระแล้ว ศีลข้อ 10 "ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา เวรมณีสิกขาปะทัง สมาทิยามิ" พระจับต้องเงินทองไม่ได้เลย แต่ตอนนี้พระจับเงินเป็นของเล่น ทั้งที่พระต้องบริสุทธิ์ แค่ทำผิดเล็กน้อยต้องปลงอาบัติ แต่จับเงินนี่ปลงอาบัติไม่ตกเป็น "นิสสัคคิยปาจิตตีย์" ต้องโยนทิ้งทั้งหมดเลย

"ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ท้าทายสังคมกระแสหลักมาก ท้าทายที่สุดคือสังคมบริโภคนิยม ทุนนิยม เผด็จการตอนนี้เราสยบกับ เผด็จการ บริโภคนิยม ทุนนิยม พระเดินตามนี้เป็นแถวเลย พระมุบมิบเงินทำกันมานานแล้ว ผมเขียนหนังสือเรื่องนี้ตั้งแต่ 2537 เขียนหมดเลยพระองค์ไหนกะล่อนยังไงบ้าง สมเด็จฟื้นฯ วัดสามพระยา ไม่งกเงิน แต่งกอำนาจ ท่านควบคุมอำนาจไว้ที่องค์เองหมด บริหารงานมีโทสจริตเป็นเจ้าเรือน ท่านเจ้าคุณวัดสามพระยาที่เพิ่งถูกจับเร็วๆ นี้ ก็เป็นลูกศิษย์ของท่าน" 

สุลักษณ์ กล่าวว่า วัดสามพระยา เป็นศูนย์อำนาจ มีการรวมศูนย์อำนาจ ดูอย่างวัดสระเกศฯ มีเจ้าคุณกี่องค์ วัดปากน้ำมี เจ้าคุณกี่องค์ บางจังหวัดไม่มีเจ้าคุณแม้แต่องค์เดียว ถ้าคุณจะมีสมณศักดิ์ก็ต้องกระจายออกไป ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ ไม่ใช่เฉพาะวัดซึ่งมีอำนาจ ถามว่ามันผิดไหม แต่คนไทยไม่สนใจ และก็ตื่นเต้น เวลาทำบุญ นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ สมเด็จพระราชาคณะมาฉันที่บ้านถวายเป็นแสน

ถ้าจะทำประการแรกเลย คือ ใครถวายเงินพระต้องลงบัญชีหักภาษีได้ พระรับเงินเอาไปทำอะไร ต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ เจ้าคุณวัดสระเกศฯ ในกุฏิมีเงินในบัญชีกี่พันล้าน นั่นไม่ผิดหรือ  

"เรามองว่าเป็นเรื่องชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เราเห็นพระเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ซึ่งไม่ใช่ พระนุ่งเหลืองไม่ใช่อริยสงฆ์ แต่เป็นสมมติสงฆ์ ถ้าทรงศีลาจารวัตร เราสมควรกราบไหว้ได้ แต่ถ้าไม่ก็อาจเป็นเหมือนผ้าเหลืองที่ห่อหุ้มโจรไว้ เมื่อเราเห็นแก่ผ้าเหลืองแตะต้องไม่ได้ ก็เสร็จดิครับ"

หนึ่งในที่มาของปัญหาอยู่ที่ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปรับมาใช้แบบเดียวกับอำนาจเผด็จการที่ตัวเขาปกครองบ้านเมือง มหาเถรสมาคม พระผู้ใหญ่ อายุ 80-90 ปี เรื่องทางโลกก็ไม่รู้ สิ่งที่ทำก็หาอำนาจให้ตัวเอง วัดปากน้ำเป็นใหญ่ก็ตั้งพรรคพวกตัวเอง วัดสระเกศฯ รักษาการสังฆราช ก็ตั้งพรรคพวกตัวเป็นใหญ่ ตอนนี้มันเลอะถึงขนาด ติดสินบนเรื่องสมณศักดิ์ เป็นแสนเป็นล้าน เหมือนอย่างกับตำรวจเป็นนายพลเลย

"ครั้งนี้ถ้าตั้งใจทำจริงๆ จังๆ ก็จะเรียกเป็นการล้างบางก็ได้ ต้องชม พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ คนนี้ แต่ถามว่าลำพังเขาจะทำได้เหรอ ผมอยากถามใครกล้าสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล้าสั่งไหม รัฐบาลกล้าสั่งไหม แสดงว่าต้องมีใครที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม อย่างมากที่กล้าสั่ง กล้าทำอันนี้ และถ้าทำต่อไป คณะสงฆ์ก็จะใสสะอาด" 
         

สุลักษณ์ อธิบายว่า แต่ก่อนฆราวาสรู้จักกับพระ สมัยตนเองอย่างน้อยต้องบวช 3 เดือน บางคน 3 ปี รู้จักพระ มีจุดอ่อนจุดแข็ง ก็คอยเตือน แต่ตอนหลังไม่มีคนเตือน ปล่อยหมด ท่านทำอะไรดีวิเศษหมด เราไม่รู้จักพระแล้ว เราเห็นพระอย่างเดียวเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เราเห็นพระเป็นพราหมณ์ ทำพิธีให้ ซึ่งพระทำถูกเราต้องอุดหนุนท่าน พระทำผิดต้องเล่นงานท่าน กรณีโกงเงินเป็นหนึ่งใน 4 ข้อที่ปาราชิกหมดความเป็นพระทันที

สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงอุดหนุนสังคายนาครั้งที่ 3 จับพระสึกกว่าพันรูป พระเจ้าธรรมเจดีย์ศรีปิฎกธรเมื่อเสวยราช ทรงปรับปรุงคณะสงฆ์ จับพระสึกเป็นจำนวนมาก ส่งพระมอญไปบวชใหม่ที่ลังกา เคร่งครัดพระวินัย สมัยรัชกาลที่ 1 ก็จับพระอลัชชีสึกไม่น้อย บ้านเมืองจะอุดหนุนคณะสงฆ์ ต้องรักษาพระดีไว้ เอาพระชั่วออก

"ต่อไปจะมีงานบรมราชาภิเษกในไม่ช้า หวังว่าถึงงานบรมราชาภิเษก จะมีเฉพาะพระดี ที่เข้าร่วมงานบรมราชาภิเษก พระดีก็จะไปสวดมนต์ สวดพร คุณเอาพระเลวเข้าไป พิธีกรรมก็เสียหมด เพราะพระเราไม่เหมือนบาทหลวงแม้จะทำผิดอะไรก็เป็นบาทหลวงที่เลว แต่ยังเป็นบาทหลวงอยู่ หรือพราหมณ์ทำผิดอะไรก็ยังเป็นพราหมณ์อยู่ แต่พระทำผิดก็หมดความเป็นพระเลย"

ปัญญาชนสยาม อธิบายว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 ทำให้มหาเถรสมาคมเป็นเสือกระดาษที่มีโทษมากกว่ามีคุณ ถ้ารัฐบาลกล้า ต้องล้ม พ.ร.บ.นี้ และกลับไปใช้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2484  ปะหน้าทาแป้งใหม่ ซึ่งสมัยนั้นเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย มีคณะสังฆมนตรีว่าการองค์กรต่างๆ มีสังฆสภาคอยตรวจสอบ สมเด็จพระสังฆราช เป็นเหมือนสังฆบิดร ไม่มีอำนาจมีคณะ และมีพระวินัยธร พระธรรมธร เหมือนศาลแยก ตรวจสอบกันได้ มีความโปร่งใส

นอกจากนั้น ต้องกลับไปเรื่องพื้นฐานความเป็นพระ หัวใจพระพุทธศาสนา คือ เรื่องการศึกษา เวลาบวชพระอุปัชฌาย์ต้องดูแลสัทธิ วิหาริก พระบวชใหม่ต้องดูแลกันอย่างน้อย 5 ปี  จากฆราวาสที่ชอบ กิน-กาม-เกียรติ เมื่อมาเป็นพระต้องเลิกให้หมด ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นเจ้าคณะภาค ไปบวชพระตามหัวเมืองไม่สามารถสอนได้ ท่านยังอัดเสียงส่งไปสอนตลอด

"ศาสนาพุทธสอนให้คนเปลี่ยนตัวเรา จากความเห็นแก่ตัว เป็นไม่เห็นแก่ตัว จากโลภ ให้เป็นทาน ความเกลียดความโกรธเป็นความรัก เปลี่ยนความโง่เป็นปัญญา เป็นพื้นฐานศาสนาพุทธ แต่พระเดี๋ยวนี้ยิ่งบวชยิ่งงก ขอโทษนะครับ ยิ่งงกก็ยิ่งเงี่ยนแล้วเปิดโอกาสให้ดูโทรทัศน์กันได้ เป็นโทรทัศน์อุดหนุน ทุนนิยม บริโภคนิยม โฆษณาสินค้าประเทืองกามกิเลส ทั้งนั้น แล้วพระไม่ภาวนาจะทนได้หรือ"

สุลักษณ์ เล่าให้ฟังว่า สมัยรัชกาลที่ 5 มหาเถรสมาคมเป็นการกสงฆ์ ประชุมกันตามวาระ ลงความเห็น ถวายให้ทรงใช้พระบรมราชวินิจฉัย คือ รัชกาลที่ 5 พระองค์เป็นสังฆราชเอง  เวลานั้นบ้านเมืองมันเล็ก ท่านรู้จักพระหมด วัดนั้นไม่ดีท่านจับสึก วัดนี้ดียกย่อง

"ผมอยากรู้คนปกครองบ้านเมืองเวลานี้ ใครรู้จักพระ ร.4 เสวยราชย์ ท่านไปนอนคุยกับสมเด็จสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านไปเยี่ยมวัดสระเกศ ไปเยี่ยมตามวัด คุยกับพระ ผมอยากจะรู้รัฐมนตรีพวกนี้ใครเคยคุยกับพระบ้าง เราแยกจากพระไปขาดเลยต้องหันกลับมาให้พระเป็นที่พึ่ง เราต้องมีพระดี"

ถามว่ามีพระดีเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหนเวลานี้ สุลักษณ์ ตอบว่า ไม่สามารถบอกได้ อย่างน้อยก็ยังมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) องค์หนึ่งที่มีความรู้เขียนหนังสือเรื่อง พุทธธรรม ซึ่งเป็นหนังสือดีที่สุดที่เมืองไทยผลิตมาในรอบ 2,000 ปี ตอนนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษ และกำลังจะแปลเป็นญี่ปุ่น เทียบเท่ากับเรื่อง วิสุทธิมรรรค ของพระพุทธโฆสะ 

หรือพระพุทธทาสซึ่งเคยพยายามปรับตั้งแต่ปี 2475 ตั้งสวนโมกข์แต่ก็ไปไม่รอดเพราะมีท่านคนเดียว แต่ที่จัดการคณะสงฆ์ได้แม่นยำที่สุด คือ สายอาจารย์ชา สุภทฺโท เพราะท่านเน้นคณะสงฆ์ ให้เป็นสังคมตัวอย่าง มีลูกศิษย์แพร่ไปทั่วโลก พระสายนี้เป็นแบบอย่างดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เคร่งครัดวินัย

สุลักษณ์ เล่าให้ฟังว่า มีคนจะไปถวายรถยนต์ให้อาจารย์ชา ท่านบอกว่า ไปบิณฑบาตตอนเช้าบางบ้านยังไม่มีแม้แต่เกวียน แล้วเราไปอาศัยเขากินแล้วนั่งรถยนต์ไม่อายเขาหรือ ขณะที่สมเด็จช่วง มีรถยนต์กี่คัน ขณะที่เจ้าคณะจังหวัดต้องขี่รถเบนซ์ เจ้าคณะภาคต้องขี่วอลโว่แข่งกับชาวบ้านเลย โชคดีที่สวมนาฬิกาสวมแหวนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจต้องไปแข่งกับใครบางคน

ถามว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้คนเสื่อมศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาหรือไม่ สุลักษณ์ กล่าวว่า ถ้าคนไม่ฉลาดก็อาจจะเสื่อมศรัทธา แต่ถ้าคนที่ฉลาดก็บอกว่า ดีนะ จะได้เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ต้องชำระเอาอลัชชีออก เอาพระดีไว้ ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่แก้ พระพุทธศาสนาไปไม่ได้ เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้แก้ได้ ต้องเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส การจับสึกพระเวลานี้อย่างน้อยก็ทำให้พระผู้ใหญ่ขยาด แต่ก็หวังว่าจะไม่ใช่แค่เชือดไก่ให้ลิงกลัว ต้องเชือดต่อไป