posttoday

ขอเป็น"เติ้งเสี่ยวจิ๋ว"

25 กันยายน 2553

สัมภาษณ์พิเศษ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้อาสาเป็นโซ่ข้อกลางดับไฟขัดแย้งทางการเมือง พร้อมเสนอแนวทางปรองดองด้วยการตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นแก้วิกฤต... 

สัมภาษณ์พิเศษ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้อาสาเป็นโซ่ข้อกลางดับไฟขัดแย้งทางการเมือง พร้อมเสนอแนวทางปรองดองด้วยการตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นแก้วิกฤต... 

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม / ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์

“เรื่องปรองดองเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องสนับสนุน แต่เจ็บใจเตือนรัฐบาลมาตั้งแต่ต้นแล้ว เขาไม่ฟัง เอาล่ะวันนี้ยังมีช่องทางอยู่ เราก็ต้องเสนอไปเพื่อแก้วิกฤต”

“บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้อาสาเป็น “โซ่ข้อกลาง” ตั้งแต่เกิดวิกฤตเหลืองแดงใหม่ๆ แม้วันนี้ไฟความขัดแย้งยังลุกโชนจากเหตุการณ์พฤษภา 2553 แต่เจ้าตัวยังยืนยันว่า ต้องปรองดองถึงจะแก้ปัญหาขณะนี้ ทว่า สูตรของบิ๊กจิ๋วต่างจากพรรคอื่นไม่ใช่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่เป็น “รัฐบาลเฉพาะกาล” ให้ทุกฝ่ายมาทำหน้าที่แก้วิกฤตชั่วขณะ

นัดสนทนากันที่ชั้น 8 พรรคเพื่อไทย ห้องประธานพรรคเพื่อไทย ติดกับห้องทำงาน สส.ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง “พ่อใหญ่จิ๋ว” ในมาดกระฉับกระเฉงอวดห้องทันที “นี่ขนาดไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคนะ ห้องยังใหญ่ขนาดนี้เลย”

“บิ๊กจิ๋ว” พูดเสียงเข้มถึงเหตุผลที่ทุกขั้วต้องปรองดองว่า ทุกอย่างต้องรีบทำเพราะถ้าปล่อยเวลาเนิ่นนาน คู่ขัดแย้งก็จะปะทะกันไม่เลิก อีก 10 ปีก็ไม่จบ สร้างความเสียหายกับประเทศ กระบวนการปรองดองที่จะเกิดขึ้น ได้พูดหลายครั้งแล้วต้องมี 3 สถาบัน 1.สถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าพระองค์ท่านเสด็จลงมาทุกอย่างก็จบ 2.กองทัพ วันนี้ทหารไปไม่ได้แล้ว เพราะทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง และ 3.ที่หลายคนตั้งความหวัง คือ รัฐบาล มีหน้าที่แก้โดยตรง แต่ถ้ายังไม่ทำอีก ประชาชนก็จะลุกขึ้นมาทำเองแล้วมันจะเสียหาย

ขอเป็น"เติ้งเสี่ยวจิ๋ว"

พล.อ.ชวลิต เล่าว่า ได้เตือนรัฐบาลมาตลอดตั้งแต่ก่อนช่วงเสื้อแดงชุมนุมใหม่ๆ ว่า นายกรัฐมนตรีต้องมีจิตใจที่จะเริ่มปรองดองก่อน ถ้ายังมองฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อการร้าย หรือรัฐบาลไปไล่ล่าคนฝั่งตรงข้าม กล่าวหาล้มสถาบัน ก็ปรองดองไม่ได้

“ที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมา แล้วกี่ปีจะเสร็จ อย่าง นพ.ประเวศ กับท่านอานันท์ แล้วท่านจะพูดกับใคร เพราะความขัดแย้งมันเกิดระหว่างรัฐบาลที่ต้องเป็นผู้แก้ปัญหากับคู่กรณี”

การทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ที่ พล.อ.ชวลิต มีบทบาทในการออกนโยบาย 66/23 เอานักศึกษาออกจากป่าสำเร็จ เป็นตัวอย่างที่บิ๊กจิ๋วนำมาเทียบเคียงกับการแก้วิกฤตหลัง “พฤษภามหาโหด” ครั้งนี้ ว่า ไม่ต่างกัน ครั้งนั้น 1.คู่กรณีฟัดกันมา 20 ปีแล้วเสียหายทั้งคู่ 2.พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน สปอนเซอร์ของนักศึกษาได้ยุติบทบาทและเปลี่ยนนโยบาย 3.สภาพแวดล้อมต่างๆ ของโลก เริ่มเปลี่ยนแปลง

“รัฐบาลเฉพาะกาล คือ เอาทั้งสองฝ่ายมาอยู่ร่วมกันแก้ไข เฮ้ย ใครดี ประชาธิปัตย์ คนนี้เก่งมานี่นะ ไอ้เสื้อเหลือง เสื้อแดง มาอยู่ที่นี่นะ มีเป้าหมายอันเดียว ร่วมกันแก้ไขความขัดแย้ง คนคู่กรณีมาอยู่ร่วมกัน บนความรับผิดชอบร่วมกันภายใต้พระปรมาภิไธย อย่างนี้ถึงจะเดินได้ เราคนไทยต่างเป็นพี่น้องกันนะ ไม่มีใครชนะ แต่มีคนแพ้ทั้งคู่”

พล.อ.ชวลิต เปรียบว่า “รัฐบาลเฉพาะกาล” ไม่ต่างจากรูปแบบ “เขมรสามฝ่าย” ที่ดึงคู่กรณีมาร่วมกันทำงานจนแก้ปัญหาความขัดแย้งสำเร็จหลังเกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์

“ของเขาไม่ใช่สองฝ่าย แต่เป็นสามฝ่าย มันตีกันจะตาย เข้ามาอยู่ร่วมกันเป็นเขมรสามฝ่าย เมื่อทำงานเสร็จ ก็ปรับตัวเองออกมา นี่เป็นวิธีแก้ปัญหา (เสียงเข้ม) ตอนนั้นเราแก้สำเร็จที่กัมพูชา เราก็ไปบอกพม่าให้แก้อย่างนี้เหมือนกัน สมัยที่โซหม่อง เป็นผู้นำอยู่ แต่เขาก็ไม่ยอมรับ มันเลยมีปัญหาจนถึงทุกวันนี้” ทว่า รัฐบาลเฉพาะกาลดูท่าจะล้ม เมื่อฝ่ายรัฐบาลไม่มีสัญญาณตอบรับ แต่ พล.อ.ชวลิต ย้ำว่า ถ้าทิ้งความขัดแย้งไว้นานจนถึงการเลือกตั้ง ก็จะปะทุมากขึ้น มันเหนื่อยนะ

ฟันธงได้ไหม พรรคเพื่อไทยไม่ค้านเรื่องนี้?

“บิ๊กจิ๋ว” ทำท่างง “เพื่อไทยที่ไหน ยังไม่เห็นมีเลย เขาพร้อมเดินแนวนี้กันหมด”

ขอเป็น"เติ้งเสี่ยวจิ๋ว"

“มันยังไม่มีข้อเสนออย่างเป็นทางการจากรัฐบาล ผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เสนอเป็นกรอบ ก็บอกแล้ว เลือกตั้งใหม่ก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา แล้วจะเอาอย่างไรดี อย่างน้อยที่สุดเราเปิดช่องให้เดิน สำคัญคือ คนถืออำนาจ คือ รัฐบาล ต้องเป็นคนรับผิดชอบ” พล.อ.ชวลิต พูดขึงขัง

ทีมงานยิงคำถามไม่เลิก เสียงต้านในเพื่อไทย กลายเป็นว่าทะเลาะกันเอง อดีตนายกฯ หัวเราะในลำคอ

“นั่นมันเป็นเรื่องที่ควรขัดแย้ง แต่ขอให้เรายืนบนหลักการที่ถูกต้อง มันก็เท่านั้นเอง คุณอภิสิทธิ์ ไม่ได้เสนอแนวทางอะไรเลย ปล่อยให้ฆ่ากันตาย เมื่อ 20 กว่าปีแล้ว มันยิ่งกว่านี้ ฆ่ากัน เขายังอโหสิกรรมกันได้ จนวันนี้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้กี่ตังค์ นี่คือสิ่งที่ได้เห็นใจกัน แต่นายกฯ ไม่มีอะไรในลักษณะนี้ออกมา มันก็ยุ่ง ยิ่งอารมณ์ขณะนี้มันเลยโกรธกันตาย”

พล.อ.ชวลิต ย้ำว่า ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์จุดพลุปรองดองก่อน ก็เหมือนกับลูกบอลที่ถูกเขี่ยออก ทุกอย่างจะเริ่มวิ่ง ปัญหาก็จบง่าย แต่เรื่องเหล่านี้ถูกพิสูจน์ในประวัติศาสตร์มามากแล้ว ส่วนการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคภูมิใจไทยที่เปรี้ยงปร้างขณะนี้ เป็นเรื่องที่นายเนวิน ชิดชอบ กำลังหาช่องออกเล่นธรรมดา อย่าคิดอะไรมาก

ก่อนจะร่ายยาวว่า ปัญหาบ้านเราที่มันเกิดขึ้นมีประเด็นเดียว คือ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ยังไม่เป็นจริง โครงสร้างของสังคมยังเป็นรูปสามเหลี่ยม คนรวยอยู่ข้างบน คนจนอยู่ฐานล่างจำนวนมาก มีความแตกต่างเยอะ สังคมไหนที่เป็นอย่างนี้ สังคมนั้นต้องแตกแยกแน่นอน หากไม่เร่งแก้ เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแน่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“สังคมอยู่กับที่ไม่ได้ มันได้เวลาแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลง วันนี้จังหวะเวลาต่างๆ มันให้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น ข้อมูลข่าวสารที่แพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น สถานการณ์มันชี้ว่า มันจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่เราอยากเห็นเปลี่ยนแบบสันติวิธีและพาไปสู่ความเจริญก้าวหน้า”

บิ๊กจิ๋ว บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงมีกระบวนการที่ใหญ่โตมโหฬารมาก อย่างพลังเสื้อแดงเราอยากให้ไปสู่เป้าหมายที่สร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เป็นจริงให้ได้ นี่คือ หัวใจ เพราะถ้าพลาดตรงนี้แล้ว ยังไม่แน่ใจว่า ...มันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร

ลับลวงจิ๋ว- “เป็นนายกฯให้โง่”

คำถามที่หลายคนสงสัยมาอยู่พรรคเพื่อไทยเพราะหวังเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ “บิ๊กจิ๋ว”ตอบสั้นๆ  พลางหัวเราะ“เป็นให้โง่”

ทำไม? อ้าว...ก็เป็นมาแล้ว ไม่เอาแล้ว  ยุ่งจะตาย...  (เน้นเสียง) ไม่ดีหรอก  เพราะท่านยงยุทธ วิชัยดิษฐ กรุณาทำมาให้ ยามพรรคยากลำบาก แล้วอยู่ดีๆ ก็เอาท่าน ยงยุทธ ออกไป และพอท่านจะกลับมาเป็น  ก็จะไม่ให้ท่านเป็นแล้ว...น่าเกลียด  

กับกระแสข่าวว่า บิ๊กจิ๋วสนับสนุน “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเน้นแนวปรองดองด้วยกัน เจ้าตัวพูดกว้างๆ ก็สนับสนุนกันทั้งนั้นเพราะอยากให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมา เดี๋ยวนี้เมืองไทยใช้แต่คนแก่ๆ  อย่างเมืองจีนเขาเอาคนรุ่นใหม่มาทำงานแล้ว

“ตอนนี้เราอายุก็น้อยแค่ 21 ก็ถึงร้อย (หัวเราะ) เราทำอย่างประเทศอื่นที่เขาทำดีกว่า  ให้เจนเนเรชั่นใหม่ทำ เราไปเป็น เติ้ง
เสี่ยว ผิง แห่งเมืองไทยดีกว่า ใช่ไหม กุมความคิด กุมแนวทางอะไรต่างๆ มีประสบการณ์ ก็มาตักเตือนเขา ช่วยเหลือลูกหลานไม่ดีกว่าหรือ”

อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับการที่แกนนำพรรคหลายคนประกาศอยากเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะอย่างน้อยก็แสดงว่า พรรคนี้มีคนเจ๋ง

“พรรคมันใหญ่ก็อย่างนี้แหละ  คนนั้นก็มาดึง คนนี้ก็จะมาดึง ปุทโธ่... ทำได้อย่างนี้ ก็น่าชมเชยแล้ว”

ถามตรงๆหลายคนว่า ท่านคิดผิดมาอยู่กับเพื่อไทย? บิ๊กจิ๋วอุทานทันที “ห่วย ... ไปเชื่อเขา สบายจะตาย โอ้โห.. ห้องนี่ก็ใหญ่ฉิบเป๋ง”

ประธานพรรคเพื่อไทย บอกว่า ตอนนี้กำลังปรับระบบในพรรคให้กระชับ เป็นองค์กรนำที่ดีที่ถูกต้อง  การประสานงานจะให้ สส.เป็นใหญ่ ทุกอย่างต้องจากล่างขึ้นบน ขึ้นกับมวลชนไม่ใช่บนลงล่าง 

“เราต้องการให้สส.เป็นใหญ่ บางคนบอกต้อง ชินวัตรไม่จริง  ชินวัตรเขาก็พยายามดีลูท (dilute เจือจาง) อะไรต่างๆ ออกไป ที่จริงเขาก็อยู่เพื่อจะช่วย แต่เมื่อมีเสียงอย่างนั้นก็ไม่เอา ก็ดี” 

แต่ถ้าชินวัตรมาดูเองก็ย้ำแบรนด์ทักษิณดั้งเดิมไม่ดีกว่าหรือ

“ก็ๆๆ ... ก็แล้วแต่นะ...ก็ช่วยกันนะ ไม่ใช่เอาคนนู้น คนนี้ แต่พรรคการเมืองมันต้อง สำหรับทุกฝ่าย” 

อย่างไรก็ตาม บิ๊กจิ๋ว ปฏิเสธเสียงแข็งว่า ไม่ได้เป็นไพ่ในสำรับของทักษิณที่ใช้ให้เดินเกมต่างๆ  เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น สมัคร สุนทรเวช  สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีรุ่นพลังประชาชน ก็คงเลิกระแวงไปนานแล้ว  

“เราเข้ามาตั้งแต่สมัยคุณสมัครแล้วไง   น้าหมักก็ไม่ยอม น้าหมักกลัวว่า เราเข้ามาเดี๋ยวเรา... (หัวเราะ)  น้าหมัก บอกให้เราลง สส.เบอร์ 6 ที่อีสานเหนือ บอกว่า ของผมจะได้ปาร์ตี้ลิสต์ 10 คน  ส่วนท่านขอลงเบอร์1 ที่กรุงเทพ เพราะบอกว่าจะได้แค่ 3 คน” 

“น้าหมักกับผมมีเรื่องดีกันเยอะ แต่แกมากลัวตอนหลัง ไม่รู้กลัวเรื่องอะไร ่ท่านสมชายก็พยายามมาช่วย แต่ท่านสมชายก็เกิดมีความเข้าใจอะไรไม่รู้  ครั้งแรกก็ให้เราไปดูแลฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ก็อาจมีคนห่วงว่าเราจะไปอยู่กลาโหม เลยมีข่าวจะเปลี่ยนเราเป็นรมว.ศึกษาธิการ (หัวเราะ) เราก็ไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งมีเรื่องปราบปรามวันที่ 7  ตุลา แล้วผมก็ลาออกก็เพื่อช่วยท่านสมชายโทรศัพท์บอกเองว่า  ‘ท่านนายกฯผมออกเอง เราต้องเสียแขนเสียขา รักษาชีวิต  ผมจะเป็นแขนขาให้ท่านบริหารไป’บอกอย่างนั้น  ไม่ใช่ว่า เราหนีออก แต่เป็นการออกเพื่อช่วย (หัวเราะ)  คนมันคิดว่า หนี โด่เอ้ย...  ช่วยเขาทั้งนั้นตลอดชีวิต”

ก่อนที่พล.อ.ชวลิต ยอมรับตรงๆถึงภาพที่ทำให้คนนอกและคนในพรรค สับสน  ก็เพราะไม่เข้าใจในบทบาทเขา ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคู่ขัดแย้งเพื่อแก้วิกฤต พร้อมยืนยัน ที่สุด หากพ.ต.ท.ทักษิณ อยากเห็นบ้านเมืองสงบจริง   ก็ต้องฟังเขา  ถ้าไม่ฟังก็จะไม่ทำให้ 

“นี่นะ...เมีย (ลากเสียง) เขาอยากจะให้พักได้แล้ว  ไปเที่ยวบ้าง ไอ้เรา ไม่ยุ่งก็ไม่ได้ มันไม่เห็นทางออก เรามีส่วนสร้างความมั่นคงให้กับประเทศนี้มากับมือ พูดแล้วอะไรก็แล้ว  ก็ยังถูกว่า  โซ่ข้อกลางมันก็ว่าโซ่สนิม  เราอธิบายก็ไม่เข้าใจ จึงกระโดดเข้ามาและก็จำกัดภาระหน้าที่ตัวเอง” พล.อ.ชวลิต ทิ้งท้ายด้วยอาการ

จม.น้อยคืนดีป๋า

ก่อนเข้าพรรคเพื่อไทยเมื่อปีก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แถลงจุดยืน 5 ข้อ หนึ่งในนั้นคือจะปกป้องพิทักษ์ราช|บัลลังก์ แต่นับวันการพาดพิงโจมตีสถาบันก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยต้องแก้ภาพด้วยความพยายามดึง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อดึงภาพความจงรักภักดีให้เด่นขึ้น

พล.อ.ชวลิต ย้ำว่า สถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งคู่บ้านคู่เมืองและเป็นองค์ประกอบของประเทศ ไม่เหมือนต่างประเทศที่สถาบันเป็นแค่สัญลักษณ์

ขอเป็น"เติ้งเสี่ยวจิ๋ว"

ส่วนกรณีที่เสื้อแดงบางกลุ่ม เช่น แดงสยาม ต้องการให้สถาบันเป็นสัญลักษณ์เหมือนประเทศญี่ปุ่น อังกฤษนั้น บิ๊กจิ๋วเห็นว่าอาจเป็นความรู้สึกที่เขาศึกษามาอย่างนั้น ความจริงเรื่องนี้คนไทยควรต้องช่วยกันเสริมสร้างพระเกียรติยศ แต่ไม่ใช่ว่าช่วยกันร้องเพลงชาติ หรือเดินขบวนปั่นจักรยาน มันต้องทำด้วยการประพฤติในสิ่งที่พระองค์ได้ชี้ หรือบางทีใครเข้าใจผิด ก็ต้องช่วยกันชี้แจง

“คนก็พูดกันไป มันจะไม่จงรักภักดีอย่างไร ที่นี่ (เพื่อไทย) มีอดีต ผบ.ทบ. 3 คน อดีตนายกฯ อีก 3 นะ (เน้นเสียง) อดีตนายพลเป็นร้อย อดีตข้าราชการผู้ใหญ่ก็เป็นหมื่นในพรรคนี้”

สนทนาไปซักพัก “บิ๊กจิ๋ว” บอกให้ถามเรื่องดุๆ บ้าง จึงซักถึงความสัมพันธ์กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่เหินห่างไปนานนับแต่ลูกป๋าคนนี้เข้าพรรคเพื่อไทย

พล.อ.ชวลิต บอกว่า ที่ผ่านมาคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยา เคยส่งผลไม้ไปให้ “ป๋าเปรม” แต่ช่วงนั้น “ป๋าเปรม” ปฏิเสธเพราะงดรับของทุกคน ล่าสุดเมื่อ 2 วันก่อนส่งการ์ดไปให้ “ป๋าเปรม” ในการ์ดเขียนว่า “ปีก่อนๆ นั้นมีโอกาส มีโชค มีวาสนาได้มาขอพรป๋าครั้งหนึ่ง แต่ปีนี้มีปัญหาทำได้แต่เพียงว่า ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่ง|ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระบารมีปกเกล้าของพระเจ้าอยู่หัว คุ้มครองท่านด้วย”

บิ๊กจิ๋ว เล่าว่า หลังจากส่งการ์ดไป ก็ได้ข่าวว่า พล.อ.เปรม เขียนข้อความว่า “จิ๋ว?” ทำนองว่า ใช่จิ๋วเปล่าวะ

“คือท่านน่ารักล่ะ ท่านเตือนเราด้วยความรักห่วงใย เพราะเราทำงานให้ท่านมาและท่านก็อบรมสั่งสอนมาตลอด ท่านจะว่าอะไร เราก็โกรธไม่ลง ท่านอาจห่วงว่าเราคิดผิดที่เข้าพรรคนี้ ซึ่งเราก็บอกว่าไม่ใช่ เราอยู่ตรงไหนก็ได้ที่ทำงานให้บ้านเมืองมีสันติสุข และที่วันนี้ไม่ได้ไปเจอท่าน เพราะเราถูกแยกแยะแล้วว่า เป็นนักการเมือง แล้วท่านเองก็ไม่อยากยุ่งกับนักการเมือง ฉะนั้นเราต้องเข้าใจท่าน”

อดีตนายทหารคนสนิทป๋า รำลึกอดีตว่า สมัยก่อนเราทำงาน เข้าออกสนามด้วยกัน กระทั่งขึ้น ฮ. จะชนภูเขาตาย ช่วงหนึ่งบรรดา “ลูกป๋า” จะไปหาอาหารดีๆ ฟังเพลงเพราะๆ ที่ห้องข้างล่างบ้านสี่เสาเทเวศร์ประจำทุก 5 เดือน เป็นบรรยากาศที่ชื่นมื่น สรุปได้ว่า บ้านเมืองเราอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้เพราะ พล.อ.เปรม ที่เป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งที่เราให้เกียรติและเคารพ

ถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่หลายคนเป็นห่วงถึงความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พล.อ.ชวลิต บอกว่า น้องๆ ทหารทุกคนควรตระหนักในหน้าที่ที่ต้องระมัดระวังเพราะกองทัพเป็นของประชาชน และเป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนการยึดอำนาจแม้ว่าจะพูดกันตลอดว่า ไม่มีอีกแล้ว แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องอนาคต ตอบไม่ได้ว่าจะมีอีกหรือไม่ เพราะทหารออกมาทีไร ก็มักบอกว่า “ครั้งสุดท้าย” ทุกที จนวันนี้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับแล้ว มากกว่ารัฐธรรมนูญในประเทศยุโรปรวมกันเสียอีก

บ๊ายบายพระปราโมทย์

เคล็ดลับในการรักษาสุขภาพให้กระฉับกระเฉง หน้าใส ของอดีตนายกรัฐมนตรีในวัยย่าง 79  บิ๊กจิ๋ว บอกไม่ยาก พร้อมคอนเฟริม์ ฟิตยิ่งกว่าฟิต เหลือเรื่องเดียวที่ยังไม่ได้ทำในชีวิต คือ ยังไม่ได้ว่ายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา!!

บิ๊กจิ๋วบอกเทคนิคที่หลายคนอาจไม่เชื่อว่า  ในทางกายภาพก็เล่นกอล์ฟ เดินสายพานออกกำลังเป็นประจำ  แต่ทางจิตใจสำคัญ คือ  นอน2ทุ่ม ตื่นตี2 มานั่งวิปัสสนา ก่อนหน้านี้มี พระปราโมทย์ เจ้าสำนักสันติธรรมเป็นต้นแบบท่องจิตดูจิต แต่หลังมีเรื่องอื้อฉาวก็เลยบ๊ายบายไม่เอาด้วย!!

“เราไม่เคยไปวัด  เขาแจกซีดีฟรีก็เลยเอามา  พระปราโมทย์ เขาเทศน์ง่ายดี เทศน์อยู่เรื่องเดียว ให้ยึดสติ  กินข้าว เคี้ยวก็ต้องนับว่า กี่คำ ก่อนจะหลับเนี่ย หายใจเข้าหายใจออก ยังต้องรู้เลยนะ แกนี่ทางเอก วิมุติมรรค มีเยอะ แต่เผลอแพบเดียว เราต้องเปลี่ยนอาจารย์เลย... (หัวเราะ) สงสัยต้องไปวัดสังฆทาน ไปเปิดฟังมั้งซิ  89.25 FMทั้งวัน แล้ว AMเราฟังหลายคลื่น แต่ฟังคลื่น  963  กิโลไซเคิลของกองพลทหารม้าที่สอง ฟังสลับไปสลับมา หลับจนตื่น ตื่นจนหลับ เมียบ่นเลย” พ่อใหญ่จิ๋วเล่าอารมณ์ดี บางช่วงหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาแทบไหล 

ระหว่างพูดคุยในบรรยากาศกันเอง บิ๊กจิ๋ว หยอดมุกย้อนถามแบบทีเล่นทีจริง เอาบ้างไหม นั่งวิปัสสนา พลางเล่าอีกว่า เชื่อไหมครั้งหนึ่งเคยหลงใหลในพระยันตระเหมือนกัน

“อาจารย์ยันตระนี่แต่ก่อนเราโอ้โห.. เคารพเลยนะ แกบอกแกนั่งต่อต้านพายุที่จะเข้ามาที่ปักษ์ใต้ ไอ้เราก็เชื่อ โหไปกราบเอาๆ เผลอแผบเดียวหนีไปอยู่เมืองนอก  อู๊ย...แย่นะ ไว้ใจไม่ได้”

ก่อนที่พ่อใหญ่จิ๋วตบท้ายชนิดตกผลึกทางธรรมทางโลกมากกว่าหลวงพี่องค์ใด 

“นี่นะ พระเสร็จที่ราคะทั้งนั้น แต่ถ้าผู้หญิงนะ ราคะเรื่องเล็ก โลภะเรื่องใหญ่ ส่วนผู้ชายเรื่องโลภเรื่องเล็ก แต่เรื่องราคะ เผลอไม่ได้ เบื่อๆ อยากๆไปทุกที”