posttoday

"ผมไม่ได้ใกล้ชิดใครเป็นพิเศษ" เปิดใจ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

21 มิถุนายน 2560

เปิดอกคุย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการตำรวจ 191 เจ้าของฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่สังคมตั้งคำถามถึงอิทธิพลและบารมีอันล้นเหลือ

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้บังคับการและสารวัตรที่ประกาศออกมาเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงสีกากีว่ามีนายตำรวจยศ พล.ต.ต. สามารถดำเนินการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั่วประเทศได้ โดยเฉพาะชื่อ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่ทำให้รั้วปทุมวันต้องสั่นสะเทือน

ร้อนถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร ต้องรีบออกมาหยุดกระแสและยอมรับว่า เจ้าของฉายา โจ๊ก หวานเจี๊ยบ คือ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ ผบก.สปพ. (ผู้บังคับการตำรวจ 191) เเต่ขอยืนยันไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายและไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน

โพสต์ทูเดย์ได้พูดคุยกับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เพื่อไขข้อข้องใจหลากหลายประเด็นที่สังคมสงสัยในตัวนายพลหนุ่มวัย 46 ปี คนนี้

ผู้การฯ เป็นใคร มาจากไหน ก้าวสู่วงการตำรวจได้อย่างไร

บ้านเกิดผมอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา คุณพ่อรับราชการตำรวจยศนายดาบอยู่ที่จังหวัดสงขลามาตลอดชีวิต คุณแม่เป็นครูในโรงเรียนตัวจังหวัด มีน้องชายหนึ่งคน ปัจจุบันเป็นผู้จัดการบริษัทเอกชน ตอนเด็กๆ ผมศึกษาอยู่โรงเรียนมหาวชิราวุธ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นสอบติดโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อปี 2531

เด็กๆ จำได้ว่ามีความฝันอยากทำหลายอาชีพ แต่เหตุผลที่เลือกเดินเส้นทางตำรวจ เพราะเห็นพ่อแม่เหนื่อยมาตลอดชีวิต พ่อยังอยากให้ลูกหนึ่งในสองคนเป็นเหมือนตนเอง ความที่รักพ่อจึงไปสอบเป็นนักเรียนเตรียมทหาร สุดท้ายติดตามความตั้งใจ ช่วงแรกเมื่อเข้าไปเรียนยอมรับว่าไม่คิดอะไร เพียงแค่ต้องการให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ แต่เมื่อเรียนไปเรื่อยๆ โรงเรียนแห่งนี้ได้หล่อหลอมทำให้ผมเป็นคนมีระเบียบวินัย ซึ่งคิดว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต  

จำความรู้สึกวันแรกที่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ตำรวจได้ไหม

จำได้ว่า วันนั้นเข้าเวรสอบสวนเวลา 06.00 น. ตั้งใจว่าจะทำหน้าที่ดูแลประชาชนให้ดีที่สุด และขณะนั้นผมก็ศึกษาระดับชั้นปริญญาโทไปพร้อมกันด้วย หลังจากนั้น 2 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาป.โท ก็ได้ย้ายไปเป็นนายเวรให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ควบคู่กับทำงานเป็นพนักงานสอบสวนอยู่ 2 ปี ก็ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ย้ายไปเป็นผู้ช่วยนายเวรผู้บัญชาตำรวจภูธรภาค 3 รับผิดชอบพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง (จังหวัดนครราชสีมา-อุบลราชธานี) ประมาณปีกว่า ต่อมาย้ายตามผู้บังคับบัญชาไปอยู่ตำรวจภูธรภาค 7 รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดนครปฐม-ประจวบคีรีขันธ์ ตอนนั้นประจำอยู่ที่จังหวัดนครปฐมได้ 2 ปี ในตำแหน่งรองสารวัตรกองกับกับการสืบสวนฯ ภาค 7

ต่อมาได้ถูกสั่งให้ไปติดตามผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ตอนนั้นเป็น พล.ต.อ.บุญชัย ชื่นสุชน ก่อนจะย้ายไปประจำเป็นสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวงจังหวัดเชียงใหม่ ได้ปีกว่า ก็ย้ายไปเป็นสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวงจังหวัดชลบุรี และได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับการผู้ช่วยนายเวรรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สมัยนั้น คือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร. ทำได้ 3 ปีกว่า เลื่อนชั้นยศเป็นผู้กำกับการกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ รับผิดชอบงานปราบปรามการค้ามนุษย์ในพื้นที่ภาคอีสาน ตลอดระยะเวลา 3 ปีได้ทำคดีที่สำคัญมากมาย แต่คดีที่ภูมิใจคือการทลายขบวนการค้ามนุษย์ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

จากนั้นย้ายลงพื้นที่ภาคใต้ ไปเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ อยู่ปีกว่า ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และได้รับความไว้วางใจจาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร.สมัยนั้น ให้มาเป็นผู้บังคับการกองกำลังส่วนหน้า รับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา และพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนล่าง 2 ปีกว่าก็ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายไปเป็นรองผู้บังคับการฯ 191 ผ่านไปปีกว่าก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการประจำสำนักงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่ประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรี ผ่านไปอีกปีย้ายไปเป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้ทำคดีทลายขบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญ จากนั้นย้ายมาเป็นผู้บังคับการ 191 จนถึงปัจจุบัน นี่คือเส้นทางระยะเวลา 24 ปี ของการรับราชการตำรวจ ย้ายไปเกือบทั่วประเทศ

"ผมไม่ได้ใกล้ชิดใครเป็นพิเศษ" เปิดใจ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

คดีไหนที่รู้สึกภาคภูมิใจหรือคิดว่าสร้างชื่อให้กับตัวเอง

 

ตลอดระยะเวลาการรับราชการตำรวจช่วงที่ผมภาคภูมิใจ ไม่ใช่เรื่องการทำคดี แต่เป็นตอนที่สอบติดโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะคิดว่าหากไม่มีวันนั้น ก็คงไม่มีวันนี้ ส่วนคดีที่ภูมิใจเป็นช่วงสมัยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว คือ คดีทลายขบวนธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญ เพราะถือเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของประเทศมายาวนาน ตอนนั้นสามารถยึดเงินเข้าประเทศได้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท แม้แต่สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังปราบปรามไม่สำเร็จ อีกอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจคือทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้น เพราะหลังจากนั้นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวก็เสียภาษีเพิ่มมากขึ้น ทำให้แก้ปัญหาชาวต่างชาติแย่งอาชีพมัคคุเทศก์คนไทยได้

สไตล์การทำงานส่วนตัวเป็นอย่างไร

ตลอดระยะเวลาการรับราชการตำรวจ ทุกตำแหน่งตั้งแต่เล็กๆ จนถึงขณะนี้ทำเหมือนเดิมคือทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างเต็มที่และเต็มเวลา ไม่เคยกลับบ้านก่อน 5ทุ่ม เที่ยงคืน เพราะตลอดระยะเวลาที่ทำงานพยายามทุ่มเทเสียสละมาตลอด ทำให้ไม่ว่าประจำอยู่ที่ไหนจะเป็นผู้นำหน่วยรับรางวัลดีเด่นอันดับ 1 มาตลอดตั้งแต่เป็นสารวัตร และยังเคยได้รับโล่หัวหน้าโรงพักดีเด่นของกรมตำรวจ 5 ปีติดต่อ รวมถึงรางวัลอื่นอีกมาก  

สไตล์การทำงานตั้งแต่รับราชการถึงปัจจุบันส่วนตัวทำเหมือนเดิม ไม่ว่าเจองานอาชญากรรมรูปแบบไหน หรือจะถูกติติงอย่างไรจะไม่แก้ตัว เพราะคิดว่าเมื่อไหร่ที่ทำงานบุคคลที่รู้และบอกได้ คือ ประชาชน กว่าจะมาถึงวันนี้ ยอมรับว่าต้องทนแรงเสียดทานมามาก แต่ตลอดระยะเวลาคิดว่าเมื่อไหร่ที่ผมยืนได้ จะทำให้ตำรวจรุ่นหลัง รุ่นน้องมีที่ยืนและโอกาส แต่ถ้าหากเมื่อไหร่เรายืนไม่ได้ รุ่นน้องก็อาจลำบาก

สังคมมีทั้งคนดีและไม่ดี เราก็ไม่ใช่คนดี 100% แน่นอน แต่เราอยู่ในสังคมนี้ได้ ต้องมีความดีมากกว่าไม่ดี ฉะนั้นสไตล์การทำงานผมจึงไม่นิยมทำโครงการอะไรทั้งสิ้น แต่จะทำงานตำรวจเกือบทั้งหมด ตั้งแต่งานสายตรวจ สืบสวน ปรามปราม อำนวยการจราจร เพื่อให้คนเชื่อถือและภาคภูมิใจ

ผมมองว่าทำแค่นี้ก็ไม่ต้องคิดทำโครงการอื่นแล้ว ในพื้นที่มีตู้แดงเท่าไหร่ บ้านกี่หลังต้องตรวจให้หมด งานพื้นฐานต้องแน่น ทำให้ประชาชนจับต้องได้ ไม่ใช่คิดอยู่แต่บนเอกสาร เพราะเมื่อไหร่ที่ตำรวจทำงาน ประชาชนจะรู้สึกปลอดภัยและมีความสุข

สังคมมองว่าเป็นนายพลหน้าเด็ก เพราะได้รับการแต่งตั้งขึ้นชั้นยศนายพลเร็วกว่าเพื่อนๆ พี่ๆ

ผมขอเรียนตรงๆ ว่าผมไม่ได้เป็นนายพลอายุน้อยที่สุด เพราะก่อนหน้านี้ก็มีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลายท่านที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นระดับชั้นยศนายพล ตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ หรือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นนายพล คนแรกของเพื่อนในรุ่น ดังนั้นประเด็นนี้ ผมไม่คิดอะไรมาก เพราะเรารู้จักตนเองดีกว่าคนอื่นว่าทำอะไรอยู่ ทำงานหรือไม่ เพราะถ้าหากทำ ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองยังไง

ฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ได้มาอย่างไร

ไม่รู้เหมือนกันว่าได้มาอย่างไร หรือมีใครตั้ง แต่คิดว่าอาจมาจากการที่ผมมีบุคลิกเป็นคนพูดจาเพราะ จนได้รับฉายาดังกล่าว คิดว่าไม่เสียหายอะไร เพราะเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะการตั้งฉายาจึงเป็นเรื่องปกติ แต่เพียงคิดว่าต้องทำหน้าที่ให้ดี และมองว่าความเป็นธรรม บาป บุญ คุณโทษ มีอยู่ในสังคม เมื่อทำหน้าที่ตำรวจดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปกลัว เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นเกาะป้องกันตัวเราเอง

เราทำความดี ทำงาน ต้องไม่ท้อแท้  สังคมจะพูดอะไร ปล่อยให้พูดไป เรารู้อยู่ว่าทำอะไร ฉะนั้นขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีสุด ส่วนสังคมจะว่าอย่างไรก็น้อมรับ

 

"ผมไม่ได้ใกล้ชิดใครเป็นพิเศษ" เปิดใจ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

 

มีคนมองว่าอยู่เบื้องหลังการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ

กระแสนี้เกิดขึ้นมาอย่างไรผมไม่ทราบ แต่เรื่องนี้ ผบ.ตร.ได้ตอบคำถามไปแล้ว ตอนนี้ผมคิดเพียงว่าทำหน้าที่อะไรอยู่ วันนี้มีโอกาสเป็นผู้บังคับการ 191 ก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนกระแสข่าวดังกล่าวคงต้องให้สื่อและสังคมตรวจสอบ ซึ่งผมก็พร้อมเปิดเผยให้ตรวจสอบตามระบบ

คิดยังไงกับฉายา ผบ.ตร.น้อย

ใครจะตั้งอะไรก็แล้วแต่ แต่ผมรู้ดีว่าทำอะไรอยู่ วันนี้เป็นหัวหน้าหน่วยและมีผู้บังคับบัญชาหลายระดับชั้น ก็จะทำหน้าที่ให้ดี

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ สนิทสนมกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลมากเป็นพิเศษ

โหว ยืนยันว่าผมไม่ได้สนิทสนมกับบุคคลใดเป็นพิเศษ ผมสนิทเฉพาะแต่เรื่องการทำงานเท่านั้น แม้แต่ ผบ.ตร. หรือผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็ต้องมีหน้าที่ทำงานต้องผูกพันร่วมกัน เพื่อรายงานผลการปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่เรื่องอื่น
เราต้องทำงานใกล้ชิดกับทหารมากช่วงนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ เพราะการทำงานต้องบูรณาการร่วมกับทหารในการตรวจค้น ปิดล้อมพื้นที่เป้าหมายสำคัญต่างๆ ฉะนั้นความใกล้ชิดเกี่ยวเนื่องก็มีอยู่แล้ว ส่วนผู้ใหญ่ ผมไม่ได้ใกล้ชิดกับบุคคลใดเป็นพิเศษ เพียงแต่ทำตามหน้าที่สายงาน

เป็นกาวใจให้กับทุกรัฐบาลจริงหรือ

ไม่มีหรอก ไม่มี เราเป็นตำรวจก็ต้องทำอาชีพตำรวจให้แข็งแรง จะเป็นกาวใจได้อย่างไร

"ผมไม่ได้ใกล้ชิดใครเป็นพิเศษ" เปิดใจ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

ที่ผ่านมาเจอหลากหลายกระแสในแง่ลบ รู้สึกท้อหรือไม่

 

ผมยืนยันว่าไม่ท้อ คิดเพียงว่าต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายภารกิจอะไร ผมคิดว่าเราต้องทำหน้าที่เหมือนนักกีฬา เขาให้ลงแข่ง ก็ต้องแข่ง เขาให้หยุดเล่น ก็หยุด วันนี้ผู้บังคับบัญชายังไว้วางใจมอบหมายให้ผมทำงาน เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด

การปฏิบัติรูปตำรวจควรเริ่มจุดไหน

ผมมองว่าหน้าที่ตำรวจคืองานบริการประชาชน หัวใจสำคัญอยู่ที่สถานีตำรวจ ถ้าหากโรงพักเข้มแข็ง ก็จะทำให้การบริการประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและทุกอย่างจะดี ทุกวันนี้หลายเรื่องโดยเฉพาะความมั่งคงดีขึ้น เพราะอยู่ในยุครัฐบาล คสช. เห็นได้จาก มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น และตอนนี้ท่านนายกรัฐมนตรี รวมถึงท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผบ.ตร. ก็มีความตั้งใจเรื่องการปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง

มองอนาคต เส้นทางข้าราชการตำรวจที่เหลืออีก 14 ปีอย่างไร

ตอนนี้ผมอายุ 46 ปี ไม่คิดอะไรมาก แค่ตั้งใจทำหน้าที่ให้เหมือนตลอดระยะเวลาที่รับราชการตำรวจมา ทำงานให้เต็มเวลา ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะได้มาเป็นผู้บังคับการ เพราะที่ผ่านมาคิดแต่เพียงว่าถ้าทำดี คิดดี ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน บ้านเมือง และผู้บังคับบัญชาจะรับทราบ และซักวันจะได้รับผลตอบแทนกลับมาเอง ไม่เคยตั้งความหวังว่าอยากเป็นอะไร

ผมคิดว่าคนที่ไม่อยากเป็น จะได้เป็น แต่ถ้าอยากเป็นก็ต้องระวังตัว กลัวถูกฟ้อง ที่ผ่านมาเมื่อผมได้รับมอบภารกิจจับกุม ปราบปราม จะลุยเองกับลูกน้องและผู้บังคับบัญชา เพราะหากมัวแต่ระมัดระวังตัว และตั้งเป้าว่าอยากเป็นอะไร อาจไม่ได้เป็น ดังนั้นก็ควรทำหน้าที่วันนี้ให้ดีที่สุด และผลบุญจะตามมาเอง 

"ผมไม่ได้ใกล้ชิดใครเป็นพิเศษ" เปิดใจ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล