"เสน่ห์กรุงเทพฯต้องไม่สกปรก" วัลลภ สุวรรณดี มือจัดระเบียบทางเท้ากทม.
จากคลองถม ปากคลองตลาด อนุสาวรีย์ชัยภูมิ สู่สยาม ชำแหละนโยบายจัดระเบียบทางเท้าของกทม.
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
ภาพหาบเร่แผงลอยแน่นเอี้ยดเต็มทางเท้าที่คนกรุงคุ้นเคยกันดี วันนี้กำลังจะกลายเป็นอดีต หลังจากที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เดินหน้าจัดระเบียบอย่างเด็ดขาดจริงจัง เพื่อคืนทางเท้าให้กับประชาชน
วัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะมาเปิดเผยถึงนโยบายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งให้กับเมืองหลวงของประเทศไทย
“ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องยอมรับและทำตามกฎหมาย”
หมดเวลาเอาเปรียบคนอื่น
แม้ตามกฎหมาย พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 จะระบุไว้ว่า 'การค้าขายบนทางเท้านั้นเป็นเรื่องผิด' ทว่าที่ผ่านมาภาพหาบแร่แผงลอยตั้งขายกันทั่วทุกมุมเมืองนั้นถือเป็นการผ่อนปรน เปิดโอกาสให้กับผู้มีฐานะยากจนสร้างรายได้
วัลลภ สุวรรณดี เล่าว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เมื่อครั้งกรุงเทพมหานคร ยังเป็นเมืองที่ไม่มีความหนาแน่นของประชากร การจราจร และการก่อสร้างมากดังเช่นปัจจุบัน ผู้ว่าราชการจังหวัดหลายสมัยได้มีการอนุโลมให้ค้าขายบนทางเท้า เรียกว่า 'จุดผ่อนผัน' เพื่อดูแลผู้ค้าที่มีฐานะทางเศรษฐกิจย่ำแย่
“ช่วงนั้นผู้ว่าฯ เปิดโอกาสให้หารายได้บนทางเท้า แต่ระยะหลังบ้านเมืองหนาแน่น ทั้งคน ทั้งรถ การก่อสร้างอาคาร คอนโดที่อยู่อาศัย บางจุดในอดีตไม่มีคนเดิน วันนี้กลับเต็มไปหมด กระทั่งเกิดการร้องเรียนอย่างหนักจากประชาชนตั้งแต่สมัย ผู้ว่าฯอภิรักษ์ โกษะโยธิน ซึ่ง กทม.พยายามแก้ปัญหาร่วมกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น) มาตลอด งานนี้เจ้าพนักงานจราจรก็ปวดศีรษะ อยากให้ กทม.จัดการให้ในหลายๆ จุด”
วัลลภ บอกว่า แผงค้าบนทางเท้านั้นทับซ้อนไปด้วยปัญหามากมาย ตั้งแต่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชน เพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ทั้งจากมิจฉาชีพและการจราจร ตลอดจนพบว่าประเภทของผู้ค้าได้เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน จำนวนมากมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี มีศักยภาพในการหารายได้สูง บางแผงยกเลิกค้าขายแล้ว ตามหลักพื้นที่ต้องฟันหลอ แต่ในความเป็นจริง กลับมีการเซ้งต่อในระดับตัวเลข 6-7 หลัก
“ปัญหาจากการขายนั้นมีมาก เช่น ผู้ค้าไปเช่าที่เก็บถังหรือรถใส่สินค้าตามพื้นที่ใกล้เคียง ถึงเวลาก็เข็นออกมาขาย ซ้ำเติมปัญหารถติด หรือการตั้งร้านวางสินค้า บางแห่งเว้นที่เหลือให้คนเดินเพียง 60 เซนติเมตร พอคับแคเบียดเสียดก็เป็นช่องให้พวกมิจฉาชีพ ล้วงกระเป๋าจนเป็นคดีความมากมาย โดยเฉพาะในท้องที่ สน.บางรัก และสน.ปทุมวัน
ส่วนประชาชนที่ไม่อยากซื้อของ ไม่อยากเบียดเสียด ก็เลือกลงมาเดินบนถนนเช่นเดียวกับคนที่ยืนรอตามป้ายรถเมล์ พอรอบนทางเท้าไม่สะดวกก็ลงมายืนข้างล่าง กลายเป็นความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเข้าไปอีก หนักกว่านั้นพื้นที่อย่างสีลมหรือสุขุมวิทช่วงกลางคืนยังพบว่า มีการค้าขายสินค้าเถื่อนและปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหารริมทาง ขายสุราหรือเหล้าปั่นด้วย เรื่องแบบนี้สังคมต้องรับทราบ”
นอกจากแผงค้าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแล้ว ลึกลงไปกว่านั้นยังสร้างความลำบากในการจัดการความปลอดภัยยามเกิดภาวะฉุกเฉินเหตุร้ายขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเหตุการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อปี 2558 การเข้าช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องพบอุปสรรคขัดขวางจากพื้นที่ที่เต็มไปด้วยแผงค้านอกกฎหมาย
“เหตุการณ์ที่ราชประสงค์ เป็นอุทาหรณ์ชั้นดี เพราะการก่อการร้ายจากผู้ไม่หวังดีนั้นสร้างสถานกาณ์ได้ทุกรูปเเบบ หากเกิดเหตุร้ายขึ้นบนรถไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือลำบากมาก กว่าจะฝ่าด่านผู้ค้าไปได้ ขณะที่ผู้ประสบภัยลงมาไม่ได้ เพราะติดขัดไปหมด ลองนึกดูหากคนรู้จักของเราเจ็บป่วยหรือเจอสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ด้านบน เดินลงมาข้างล่าง เข้าหาโรงพยาบาลไม่ทัน เพราะติดแผงผู้ค้า จะเสียหายขนาดไหน”
แผงค้าถูกกฎหมายว่างกว่าหมื่นแห่ง
ที่ปรึกษากทม.รายนี้ยืนยันว่า ไม่ได้รังแกหรือบีบบังคับให้ผู้ค้าย้ายออกจากพื้นที่ชนิดไม่ทันตั้งตัวหรือไร้การวางแผน กลับกันมีการประชุม เจรจาทำความเข้าใจหลายต่อหลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังจัดหาพื้นที่การค้าแห่งใหม่รองรับด้วยซ้ำ โดยโครงการจัดระเบียบผู้ค้าหายเร่แผงลอย เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนก.ค. 2557 ถึงปัจจุบัน สามารถดำเนินการได้ทั้งสิ้น 233 จุด ครอบคลุมจำนวนผู้ค้า 19,678 ราย ในพื้นที่ 42 เขตทั่วกทม.
“เราประชุมกันก่อน แล้วค่อยๆปรับเปลี่ยน ยกตัวอย่างที่สยามสแควร์ เมื่อก่อนขายตั้งเเต่ 10.00 น. – 24 .00 น. เราก็ขอปรับเปลี่ยนไม่ให้ขายตอนเช้า ให้ขายตั้งเเต่ 19.00 น. เป็นต้นไป เป็นมาตรการผ่อนปรน ตั้งเเต่สมัยผู้ว่าสุขุมพันธุ์ บริพัตร กระทั่งช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา มีการประชุมตลอด ไม่ใช่ประชุมแค่ 4 วันหรือ 48 ชั่วโมงแล้วไล่ เฮ้ย คุณออกไป ไม่ใช่แบบนั้น”
ข้อมูลน่าสนใจคือ ตลาดในการบริหารจัดการของสำนักงานตลาดกรุงเทพฯและเอกชน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จากแผงค้ารวมทั้งสิ้น 28,857 แห่ง มีแผงค้าว่างถึง 10,538 แห่ง ซึ่งเท่ากับว่ายังมีพื้นที่ให้ผู้ค้าจับจองอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกเพียบ
ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ยืนยันว่า มาตรการที่ใช้ในแต่ละพื้นที่นั้นไม่แตกต่างกัน คือเริ่มสำรวจเเผงค้า หาพื้นที่แห่งใหม่รองรับ พร้อมเจรจาเจ้าของที่ดินโดยขอร้องให้เจ้าของงดเก็บค่าเช่าในช่วง 3-6 เดือนแรก และคงค่าเช่าในระยะ 3 ปีแรก ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดี ก่อนจะเรียกประชุมผู้ค้าเพื่อทำความเข้าใจและวอนขอให้ย้ายไป โดย 3 ต.ค.ที่ผ่านมา กทม.สามารถเคลียร์พื้นที่หลายจุด และจัดการไปทั้งหมด 105 จุด เคลียร์ผู้ค้าไปทั้งสิ้น 4,883 ราย ในพื้นที่ 19 เขต
“ทุกจุดที่กทม.จัดระเบียบไม่ว่าจะเป็นคลองถม สะพานเหล็ก ปากคลองตลาด กทม.ได้จัดที่ค้าใหม่ให้หมด แรกๆก็ต่อต้านบ้าง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยอมและปรับตัวได้ อย่างคลองถม เราจัดสถานีสายใต้ใหม่ ถ.บรมราชชนนีให้ ทุกวันนี้ขายดิบดี สัปดาห์ละ 7 วัน วันละหลายชั่วโมง หรือที่ ตลาดนัดรถไฟ รามอินทรา มีคนเดินแน่นทุกวัน ให้กลับมาที่เดิม พวกเขาไม่เอาแล้ว”
สำหรับผู้ค้าบริเวณสยามสเเควร์ พื้นที่ปัญหาล่าสุด ได้จัดพื้นที่บริเวณใต้ทางด่วนพงษ์พระราม ขนาด 7 ไร่ 46 ตารางวา ซึ่งเป็นพื้นที่ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไว้ให้ โดยติดตั้งไฟฟ้า ขีดเส้นล็อกแผงสินค้า และเตรียมนำห้องน้ำสาธารณะไปติดตั้งเพื่ออำนวยความสะดวก ส่วนผู้ค้าย่านประตูน้ำ ถนนราชปรารภ กทม.ได้เจรจากับเอกชน ขอใช้พื้นที่ซอยหัสดิน ซึ่งอยู่ระหว่างซอยราชปรารภ 2-4 และใต้ทางด่วนพงษ์พระราม เป็นพื้นที่รองรับ มีการทำความสะอาดและติดตั้งโครงหลังคาแผงค้าให้เรียบร้อยแล้ว
กลุ่มผู้ค้าดอกไม้สดในบริเวณปากคลองตลาดรวมตัวกันประท้วงเจ้าหน้าที่ กทม. เมื่อช่วงกลางปี 2559 ที่ผ่านมา
เลิกอ้างเอกลักษณ์และความยากจน
ไม่นานมานี้ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้จัดอันดับ 23 เมืองที่มีอาหารริมทางหรือสตรีทฟู้ดที่ดีที่สุดในโลก อันดับหนึ่งหนีไม่พ้นกรุงเทพฯ โดยซีเอ็นเอ็นระบุว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่พลาดอาหารริมถนนในกรุงเทพฯ” อย่างไรก็ตามสำหรับ กทม. แล้ว การจัดอันดับดังกล่าวไม่น่าดีใจนัก เพราะไม่ได้มองในเรื่องกฎหมายและความปลอดภัยรวมอยู่ด้วย
“ขอบคุณที่ให้เกียรติ เเต่ถามกลับว่าสุขอนามัยของร้านจำหน่ายอาหารบนทางเท้าเป็นอย่างไร มีใครพูดถึงการล้างจานไหม ล้างด้วยน้ำกี่กะละมัง เวียนใช้กี่ครั้ง พูดไหมว่าร้านนำไขมัน เศษอาหารเทลงท่อระบายน้ำ ฉะนั้นที่บอกว่าการจัดระเบียบทำให้เสน่ห์หายไป ผมว่าไม่เกี่ยว ตรงนั้นไม่ใช่เสน่ห์ เเต่คือความสกปรก เอกลักษณ์ความเป็นไทยต้องมองอย่างรอบด้าน ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนอยากเดินกินของอร่อยๆ แล้วถูกล้วงกระเป๋า ถามว่าล้วงกระเป๋า เป็นเอกลักษณ์ที่บวกเข้าไปด้วยหรือเปล่า หรือถ้าไม่อยากโดนล้วงกระเป๋าก็ลงมาเดินบนถนน เพื่อเสี่ยงต่อการถูกรถชนเเทน นั่นเป็นเอกลักษณ์เหรอ”
ส่วนข้ออ้างเรื่องความยากจนเพื่อขอผ่อนปรนนั้น วัลลภบอกข้ามไปได้เลย เพราะหากวัดกันที่เงินตรา กฎหมายระเบียบคงไม่มีความหมาย ที่สำคัญคาดว่าจะมีผู้ที่เหมาะสมกว่าผู้ค้าปัจจุบันหลายราย
“ผู้ค้าบางคน ตอนมาประท้วง ยังขอความเห็นใจบอกว่า ขายตรงนี้ทำให้เขาซื้อบ้าน ซื้อรถ สร้างเนื้อสร้างตัวได้ ผมถามกลับว่า ถ้าคนอื่นที่เขาไม่มีอะไรเลยจะขออย่างคุณบ้างล่ะ ระเบียบสังคมอยู่ตรงไหน ถ้าจะเเข่งกันด้วยความจน อาจจะมีคนที่เหมาะสมกว่าคุณด้วยซ้ำ”
ที่ปรึกษา ยืนยันว่า ที่ผ่านมา กทม.ดำเนินการทุกอย่างด้วยการผ่อนปรน มองข้ามความผิดของผู้ค้า เปรียบดั่งการหลับตาข้างเดียวจัดการปัญหามาตลอด ซึ่งขอให้เข้าใจว่าหาก กทม.ไม่ทำตามกฎหมาย จะกลายเป็นผู้ผิดเสียเอง ประชาชนทั่วไปฟ้องร้องได้ตามมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
คำถามสำคัญที่สุดหลังการจัดระเบียบก็คือ ทำอย่างไรให้ความเรียบร้อยเป็นไปอย่างยั่งยืน
ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า ความยั่งยืนอย่างแท้จริงขึ้นอยู่กับวินัยของทุกคนในสังคม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ ผู้ค้า และผู้ขายที่จะต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ ตระหนักในความรับผิดชอบของการเป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมาย พร้อมกันนี้ยังนี้ชี้แจงด้วยว่า การจัดระเบียบไม่ได้เป็นนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องจากกทม.ทำมาตลอดหลายพื้นที่ตั้งแต่ยังไม่มีคสช.
“ทุกคนต้องช่วยกันให้ความถูกต้องนั้นยั่งยืน ผู้ว่าฯกำชับเลย กลับมาไม่ได้ ทุกวันนี้สั่งการให้สำนักเทศกิจทุกเขต ถ่ายรูปรายงานจุดที่ดำเนินการไปเเล้วทุกวัน เเละฟังการร้องเรียนตลอด แต่เข้าใจว่าคนไทยก็คือคนไทย พูดตรงๆว่า ไม่ค่อยรักษาวินัย พอเจ้าหน้าที่หันหลัง ก็กลับมาปูผ้าค้าขายกันอีก ฉะนั้นพี่น้องประชาชนต้องช่วยด้วย ไม่ซื้อ ไม่สนับสนุน และแจ้งเจ้าหน้าที่ ความยั่งยืนครั้งนี้ขึ้นอยู่ที่สังคม”
ทั้งหมดนี้เป็นคำชี้แจงจาก วัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ถึงการพลิกโฉมทางเท้าเมืองหลวงครั้งสำคัญ