posttoday

กะเทาะใจ"เทพไท"โฉมใหม่ ตัวเล็กๆไม่ ตัวใหญ่ๆลุย

08 สิงหาคม 2553

ระยะหลังๆมานี้ถ้าใครสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า "เทพไท เสนพงศ์" ส.ส.นครศรีธรรมราช โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีนักการเมืองท่านหนึ่งหายหน้าหายตาไปจากพื้นที่สื่อ...

ระยะหลังๆมานี้ถ้าใครสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า "เทพไท เสนพงศ์" ส.ส.นครศรีธรรมราช โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีนักการเมืองท่านหนึ่งหายหน้าหายตาไปจากพื้นที่สื่อ...

โดย....ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

ระยะหลังๆมานี้ถ้าใครสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า "เทพไท เสนพงศ์" ส.ส.นครศรีธรรมราช โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีนักการเมืองท่านหนึ่งหายหน้าหายตาไปจากหน้าจอโทรทัศน์หรือพื้นที่สื่อสารมวลชนพอสมควรนับตั้งแต่ออกมาเปิดประเด็นข่าวการฝึกกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่จ.นครราชสีมา ซึ่งส่งผลให้ผู้ใหญ่ในพรรคออกมาตำหนิการทำงานของเทพไทยอย่างแรงหลายครั้ง

กะเทาะใจ"เทพไท"โฉมใหม่ ตัวเล็กๆไม่ ตัวใหญ่ๆลุย เทพไท

จนกระทั่งมาเกิดกรณีที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่จ.ภูเก็ตว่าอย่าเอาเทพไทเป็นตัวอย่าง ซึ่งนับจากนั้นมาเทพไทก็เงียบหายไปจากจอทีวีจะมีเพียงการส่งเอกสารแถลงข่าวให้กับผู้สื่อข่าวสำหรับเพื่อการเผยแพร่ต่อสาธารณชนเท่านั้น

ขณะที่ อีกด้านหนึ่งก็มีการกล่าวอ้างว่าที่เทพไทหายไปเพราะน้อยใจนักข่าว
จึงเป็นโอกาสดีที่เมื่อมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติและได้บังเอิญเจอโฆษกท่านนี้พอดี เลยเข้ามาจับเข่าคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่

เทพไท เริ่มต้นว่า จริงๆตำแหน่งโฆษกเป็นตำแหน่งที่มีอายุการใช้งานที่สั้นและเปลืองตัวโดย1 ปีกว่าๆที่ทำหน้าที่นี้ได้รับแรงเสียดทานค่อนข้างเยอะและประกอบกับการทำงานสไตล์ ปะฉะดะมันก็จะทำให้มีแรงสะท้อนกลับมาค่อนข้างแรง มันก็ต้องมาสำรวจตัวเองและทบทวนบทบาทของตัวเองว่าควรจะทำอย่างไรต่อจากนี้ไป เพราะฉะนั้น เมื่อได้โอกาสในช่วงที่มีการวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากรวมทั้งกระแสต้องการการปรองดองสมานฉันท์ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่เรามาทบทวนและปรับปรุงการทำงานกันใหม่สักครั้งหนึ่ง

สำหรับกรณีของท่านสุเทพผมได้คุยกับท่านเลขาธิการพรรคแล้วท่านบอกว่าไม่มีเจตนาจะไปตำหนิอะไรเพียงแต่ว่าท่านพูดกับแกนนำที่เป็นหัวคะแนนในภาคใต้ และพูดในลักษณะเชิงปราศรัยอำกันโดยยกตัวอย่างผม เจตนา คือ ไม่อยากให้คนในพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนใช้สไตล์การสัมภาษณ์ในแบบผม เพราะถ้าเป็นแบบนี้ทะเลาะกับคนอื่นไปหมดพรรคก็จะลำบากไม่มีเพื่อนคนร่วมงานและสร้างศัตรูมากจนเกินไป ซึ่งไม่ได้มีเจตนาเบรคไม่ให้ผมพูดอะไรแต่ว่าสไตล์นี้ควรให้ผมพูดเพียงคนเดียว

มีการตั้งข้อสังเกตคุณเทพไทหายหน้าไปช่วงหนึ่งจนมีการเข้าใจคุณเทพไทน้อยใจอะไรอยู่

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเรียนที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)และไปต่างประเทศกับวปอ.2-3ประเทศ ช่วงแรกไปเกาหลีใต้ 1 อาทิตย์ ต่อมาไปภูฎานและมาอินเดียและเพิ่งกลับมาเมื่อวันที่ 2 ส.ค.คิดว่าหลังจากกลับมาแล้วจะเข้ามาทำหน้าที่เหมือนเดิมในบทบาทใหม่ในกรอบของหน้าที่ใหม่ไม่ให้เกิดภาพเทพไทรายวัน

ผู้ใหญ่ในพรรคเคยตำหนิกับบทบาทการทำหน้าที่เป็นเทพไทรายวันบ้างหรือไม่

ไม่มีน่ะ เพราะพรรครู้ว่าที่ผมออกมาพูดทุกวันมันไม่ใช่เรื่องที่ผมมาเปิดประเด็น ไม่ใช่อยู่ๆลุกขึ้นมาแล้วก็ไปชี้หน้าด่าฝ่ายตรงข้าม แต่มันมีประเด็นจากฝ่ายตรงข้ามมากระทบหัวหน้าพรรค ผมก็ต้องออกมาชี้แจง ซึ่งท่านชวน (หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) ยืนยันมาตลอดว่ามีความจำเป็นต้องพูดถ้ามันเป็นความจริง เพราะฉะนั้น ผมก็สามารถพูดความจริงได้ทุกวัน เพราะเขาพูดเท็จทุกวัน ผมเข้าใจสื่อมวลชนที่ไม่ต้องการข่าวประเภทปิงปองและเข้าใจประชาชนว่าไม่อยากเสพข่าวความขัดแย้ง แต่ต้องดูว่าความขัดแย้งมันเกิดขึ้นจากฝ่ายไหน การที่เรียกร้องให้ผมมาปรองดองก็ต้องกลับไปดูว่าต้นเหตุมาจากไหน

ความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนที่ทำข่าวประจำพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไรบ้าง

เหมือนเดิมไม่มีปัญหากับสื่อมวลชนที่ทำข่าวพรรคเข้าใจดี จริงๆเกิดจากสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาลที่ไปถามประเด็นเหล่านี้ ซึ่งมีหลายครั้งที่ถามท่านสุเทพในสิ่งที่ผมไม่ได้พูดแต่พอไปถามท่านสุเทพบอกว่าผมพูด ทั้งที่ข้อเท็จจริงผมไม่ได้พูด ตรงนี้ทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนและผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ตามข้อมูลตลอดแสดงความเห็นที่ไม่ตรงข้อเท็จจริงเสียหายได้

ดูเหมือนที่ว่าทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์พยายามชี้แจงตำแหน่งโฆษกหัวหน้าพรรคไม่ใช่หนึ่งในทีมโฆษกของพรรคโดยเฉพาะภายหลังมีข่าวเรื่องการฝึกกองกำลังติดอาวุธที่จ.นครราชสีมา

พูดจริงๆเลยน่ะ เรื่องนั้นเนี่ยไม่ได้น้อยใจคนในพรรคเพราะถือว่าคนในพรรคเข้าใจแต่ว่าเราน้อยใจสื่อมวลชนเพราะว่าสื่อแปลเจตนารมณ์ของเราผิดไป ทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนทำให้มีการขยายผลจากตรงนั้น ซึ่งอันนั้นผมไม่ได้โทษสื่อ แต่โทษตัวเองที่พูดไม่เคลียร์กับสื่อ แล้วทำให้แนวข่าวเป็นไปตามที่สื่อเขาคิดจนเกิดเสียงวิจารณ์ได้

ตรงนั้นเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราคิดว่าเราควรปรับปรุงการทำงานในฐานะโฆษกให้มันมีความรอบคอบมากขึ้นและมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกระแสกดดันภายในพรรคแทบจะไม่มีโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในฐานะเป็นโฆษกส่วนตัวก็ได้ทำความเข้าใจกับท่านมาโดยตลอด และทุกครั้งที่ได้สัมภาษณ์ไปก็ได้รายงานให้ท่านทราบ ในบางเรื่องที่ไม่แน่ใจก็ขอคำปรึกษาจากท่านหรือคำแนะนำจากท่าน หรือในบางเรื่องเห็นแนวทางที่นายกฯแสดงจุดยืนไปแล้วเราในฐานะโฆษกส่วนตัวก็ต้องแสดงท่าทีตามต่อกันไป

แนวทางในการปรับปรุงการทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายปรองดองเป็นอย่างไร

มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ เห็นว่าการทำงานในลักษณะของผมเเป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง จึงต้องปรับลดแรงเสียดทานลงมาบ้างโดยอาจขีดกรอบการทำงานให้ชัดว่า 1.ในฐานะโฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคก็คงมีหน้าที่ที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตัวนายกฯหรือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อให้สังคมได้เข้าใจ 2.การออกวิพากษ์วิจารณ์ความเห็นทางการเมืองก็จะมุ่งเน้นแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยอย่างเช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ส่วนบุคคลอื่นๆก็คงมองข้ามไป ไม่ออกมาตอบโต้เว้นเสียแต่ว่าคนเหล่านั้นจะมีการพาดพิงถึงตัวนายกฯแต่ถ้าคนเหล่านั้นมีเพียงการแสดงความเห็นทางการเมืองก็คงมองข้ามไป

ส่วนถ้าเป็นการพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นหน้าที่ของนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนในกรณีพาดพิงรัฐบาลเป็นหน้าที่ของอาจารย์ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และทีมโฆษกรัฐบาล

ทั้งหมดเป็น เทพไท แนวใหม่ที่เจ้าตัวประกาศแนวทางอย่างชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับแผนปรองดองส่วนจะทำได้หรือไม่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์