posttoday

"ไม่เป็นตาอยู่ ให้ตาอิน ตานา จ้วงแทง" อนุทิน ชาญวีรกูล

01 พฤษภาคม 2559

"ใครเลือกผมเป็นนอมินีเตรียมผิดหวังได้ ผมมีประสบการณ์ ผมรู้นอมินีเป็นยังไง เหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมว ไม่มีทาง ผมจะไม่มีนอมินี และจะไม่ยอมเป็นนอมินีกับใคร ‘ขี่เสือว่ายากขี่หนูยากกว่า’ "

โดย...ธนพล บางยี่ขัน,ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

สปอตไลต์การเมืองสาดมายัง เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะ “ตัวแปร” ที่จะชี้ขาดการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต บ้างว่าด้วยชื่อชั้น บารมี และบุคลิกไร้ศัตรูทางการเมืองเข้าได้กับทุกฝ่าย แถมยังคุยรู้เรื่องกับ คสช. อาจมี “ส้มหล่น” เป็นตาอยู่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ไม่ยาก

ท่ามกลางบรรยากาศเตรียมนับถอยหลังไปสู่วันออกเสียงประชา​มติเลือกตั้ง ​เสี่ยหนูเปิดห้องทำงาน ณ ตึกชิโน-ไทย ให้สัมภาษณ์​พิเศษ​โพสต์ทูเดย์ เริ่มตั้งแต่ออกตัวว่าเห็นด้วยกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยบริบทของการเมืองที่เป็นเช่นนี้ เพราะหากเมืองไทยเจริญรุ่งเรืองสุดขีด มีประชาธิปไตยเต็มใบ ​ประชาชนได้แสดงความ
คิดเห็นเต็มที่ ก็อาจจะมีความเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง

“สภาพประเทศไทยวันนี้ ผมว่าอะไรก็ตามที่ทำให้มีการเลือกตั้ง ก็ทำไปเถอะ มันต้องเอาสิทธิที่หายไปกลับคืนมา เหมือนใครติดหนี้เยอะ สมมติ 100 บาท มัวจะไปมุ่งเอามาครั้งเดียว ไม่เปิดให้ผ่อนส่ง เจรจา เราอาจเสียไปทั้ง 100 บาท คนเบี้ยวก็อาจเสียชีวิต เพราะเราจ้างคนไปตีหัว คือ แพ้ทั้งคู่”

แต่ถ้าถามว่าส่วนตัวรับได้หรือไม่ ตรงนี้ตอบไม่ได้ เพราะเป็นนักการเมือง ​เคารพเฉพาะมติประชาชน คือ ประชามติ ไม่ได้หมายความว่าตัวเองไม่มีจุดยืน ต่อให้มีจุดยืน แล้วสมมติประชาชนบอกว่ารับ แล้วในฐานะหัวหน้าพรรคบอก บอยคอตไม่ส่งคนเลือกตั้งได้หรือ ถ้าทำไปก็ไม่เคารพประชาชน

​“ผมคิดว่าในการทำการเมืองอิงประชาชนไว้ดีที่สุด ​ที่คนกลัวเรื่ององค์กรอิสระจะเข้ามาเกี่ยวกับการบริหารงานรัฐบาล​ แต่ในเมื่อผมเข้ามาเป็นมืออาชีพ ก็ทำตามหน้าที่ในรัฐธรรมนูญ และความมุ่งมั่นของตัวเอง ไม่ต้องกลัวอะไร เผลอๆ ท่านเหล่านั้นอาจจะมาชี้แนะแนวทาง ช่วยกันบริหารบ้านเมือง”​

ใครเลือกผมเป็นนอมินี เตรียมผิดหวังได้เลย

​หลายฝ่ายวิเคราะห์กันว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เอื้อประโยชน์กับพรรคขนาดกลาง อนุทินกลับมองว่าเป็นการคาดเดา ในส่วนของพรรคเราขายนโยบาย ไม่สนใจว่าเราจะได้เปรียบเสียเปรียบกับวิธีการเลือกตั้งซึ่งตราขึ้นมาใหม่ ไม่เคยให้ความสำคัญกับรูปแบบการได้มาซึ่ง สส. หรือผลพลอยได้ประโยชน์จากพรรคขนาดกลาง ถ้าไปคิดแต่ตรงนั้นจะประมาท จนลืมนึกถึงแก่นแท้พรรค ที่ต้องให้ประชาชนเชื่อถือ

ส่วนที่มองว่า ภูมิใจไทย แนบแน่นกับ คสช. จนอาจถูกวางบทบาทให้มาเป็นนอมินีนั้น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยยืนยันว่า ตั้งแต่มี คสช.มา ยังไม่เคยได้พบปะกับ คสช.แม้ครั้งเดียว ความแนบแน่นระหว่าง คสช.กับพรรคการเมือง จะมาบอกแบบนั้นไม่ได้ เพียงแต่ว่า อันไหน คสช.ทำแล้วดี ก็ออกมาให้กำลังใจ

ทั้งนี้ ไม่ใช่อ้างประชาธิปไตย​เพราะเป็นพรรคการเมือง แล้ว คสช.ทำอะไรจะผิดหมด ตรงนี้ไม่ได้กลัว แต่ต้องการให้บ้านเมืองถูกส่งกลับมาโดยเร็ว การค้านในสิ่งที่ คสช.ทำ มันสักแต่จะให้เกิดความยุ่งยาก ​มีเหตุให้โรดแมปถูกขยายออกไป เพราะฉะนั้นทำดีต้องสนับสนุน ไม่สนับสนุนก็ไม่ได้ เพราะผ่านมา 2 ปีแล้ว อย่าให้ไปอีก 5 ปีเลย

“ใครเลือกผมเป็นนอมินีเตรียมผิดหวังได้ ผมมีประสบการณ์ ผมรู้นอมินีเป็นยังไง เหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมว ไม่มีทาง ผมจะไม่มีนอมินี และจะไม่ยอมเป็นนอมินีกับใคร เพราะผมเติบโตมาแบบนี้ ทั้งในภาคธุรกิจและภาคการเมือง แต่ผมไม่เคยทำอะไรให้เกิดความเสียหาย ‘ขี่เสือว่ายากขี่หนูยากกว่า’”

ถ้าเป็นนายกฯ แบบไม่สง่างาม ขอเป็นคนสนับสนุน

สำหรับที่วิเคราะห์ว่าภูมิใจไทยจะเป็นตาอยู่มานั่งเก้าอี้นายกฯ นั้น ก็เป็นการคาดคะเน ซึ่งทางทฤษฎีนี่ใช่เลย สมมติหลังการเลือกตั้งมีพรรค ที่ 1, 2, 3, 4 ซึ่งไม่มีใครได้เสียงข้างมาก แต่พรรคที่ 1 และ 2 ​​มีที่นั่งในสภาเยอะไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ​ตามทฤษฎี พรรคที่ 3 และ 4 ก็น่าจะเป็นตัวแปร

“ผมคิดว่าเราต้องดูวันนั้นว่า พรรคที่ 1, 2, 3 มากี่คน สมมติได้ 251 เสียง แล้วไม่มีใครร่วมด้วย ก็อยู่ไม่ได้
พรรคที่ 1 ได้ 220 เสียง พรรคที่ 2 ได้ 150 เสียง แล้ว 150 เสียงจะไปแย่ง 220 ตั้งรัฐบาลได้หรือ ก็ไม่ได้อีก เพราะว่ามันเกินกึ่งหนึ่งมานิดเดียว

เราต้องบริหารรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยความระมัดระวัง เคารพ และพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกให้ประเทศ ไม่ใช่เห็นแก่ตัวเองวิ่งเข้าไป คำตอบผม ไม่ต้องพูดต่อ
เมื่อพรรค 220 เสียง ตั้งรัฐบาลไม่ได้ แล้วพรรคขนาดกลางที่มี 30, 40, 50 เสียง จะไปตั้ง จะเป็นได้กี่วัน ความเสียหาย ขัดแย้ง เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งผมไม่เซย์ เยสหรือโน เพราะยังไม่รู้ผล พูดตามหลักสากล

ถ้าผมเป็นโดยไม่มีความสง่างาม หรืออธิบายให้ประชาชนฟังได้ว่า ทำไมเราถึงมีบทบาทแบบนี้ ผมเลือกเป็นคนคอยสนับสนุน ​จะเป็นผลดีที่สุดให้กับบ้านเมือง สมมติว่าหลังเลือกตั้ง ผมเชื่อว่าผลการเลือกตั้งบังคับให้ทุกฝ่ายหันหน้าหาทางออก วันนี้พูดได้ว่า ไม่ได้คุยกับใคร ไม่ต้องเจรจา แฟร์ๆ ยอมรับ แฟร์เกม

​สิ่งที่กำหนดว่าอนาคตบ้านเมืองเป็นอย่างไร ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ หรือรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามา สิ่งที่กำหนดอย่างแรก คือ ผลของการเลือกตั้ง ผลเลือกตั้งออกมา ประชาชนที่เข้าใจการเมือง จะรู้ทันทีเลยว่าอะไรจะเกิดไรขึ้น ไม่ต้องเดา”

ผมรู้ตัวเอง ขอทวงสิทธิตามสถานะ

ร่างรัฐธรรมนูญใหม่กำหนดให้พรรคการเมืองต้องเสนอชื่อคนเป็นนายรัฐมนตรี 3 ชื่อ เหมือนบีบให้ต้องไปแข่งเป็นนายกรัฐมนตรี อนุทินกล่าวว่า “แน่นอน ถ้าเกิดฟลุก ได้ 200 เสียง ถ้าสมมติผมได้ ซึ่งฝันกลางวัน ผมไม่ยอมให้ใครเป็นแน่ แต่ถ้าได้ 30-40 เสียง (หัวเราะ) ผมก็ไม่กล้าผมรู้ตัวเอง เราจะทวงสิทธิตามสถานะที่มี น้ำหนัก 50 กก​.จะไปท้าต่อยกับ ไมค์ ไทสัน เหรอ”

ส่วนบางสูตรที่อยากได้นายกฯ คนกลางที่ไม่ใช่ 2 พรรค ที่เป็นขั้วขัดแย้งนั้น อนุทินมองว่า หากไปรับตำแหน่งนายกฯ ​​แทนที่จะขัดแย้ง 2 พรรค ก็จะเป็น 3 พรรคบ้านเมืองจะได้อะไร ​

“ผมมาเป็นหัวหน้าพรรค ไม่หวังเป็นผู้นำประเทศหรือหวังอะไรทั้งสิ้น ถ้ามันต้องรับก็ต้องรับ แต่ทำอย่างไรรับแล้วสง่างาม เพราะฉะนั้นผมคิดทุกมิติ มิติแย่สุด คือ เป็นตาอยู่  แล้วผมก็จะถูกตาอิน ตานา จ้วงทุกวัน ผมจะไม่ได้มองไปข้างหน้า ได้แต่มองข้างหลัง และผมก็คงไม่ยอมให้ใครมาจ้วงผมฝ่ายเดียว คุณเอามีด ผมเอาปืนซัดกลับ มันไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน บ้านเมืองได้อะไรผมไม่มีทางที่จะเป็นผู้ถูกกระซวกฝ่ายเดียว พื้นฐานนิสัยผมผม 1+1 เท่ากับ 2 คิดง่าย อ่านง่าย”​

ผมขอเท่าทุนก็แฮปปี้แล้ว

 ถามว่าในฐานะตัวแปรจะวางหลักอย่างไรว่าจะสนับสนุนพรรคที่ได้ที่ 1 หรือที่ 2 อนุทินตอบว่า ต้องดูผลการเลือกตั้ง สมมติพรรคได้ที่ 3 ที่ 4 ไม่ต้องสมมติแถวๆ นั้น (หัวเราะ) ส่วนตัวไม่ฉวยโอกาสเอาความได้เปรียบเป็นตัวแปร คนเราเมื่อกล้าปฏิเสธตำแหน่งทั้งที่มีโอกาสมาแล้ว มันต้องไม่กลัวอย่างอื่น สำหรับตัวเองเลิกคิด ไม่ใช่เพื่อพวกพ้อง แต่ต้องเป็นประชาชน

“ถ้าหวังว่าจะเป็นตัวแปร ผมคงนั่งกับคุณได้ไม่เกิน 15 นาที ผมต้องวิ่งไปนั่งหาวิธีการ หรือคนโน้นคนนี้ แต่เมื่อผมสามารถบอกตัวเองแล้วว่า อย่าเป็นตาอยู่หรือนักฉวยโอกาส อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ จากผลของการเลือกตั้ง ผมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศไทย แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นอะไร แต่ประเทศไปได้ขึ้นมา นี่คือสิ่งที่อยากเป็นมากกว่า นายกฯ รองนายกฯ หรือประธานรัฐสภา”

ถามว่าประเมินหรือยังว่าระบบเลือกตั้งใหม่จะทำให้คะแนนของพรรคเพิ่มขึ้น​แค่ไหน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า ถ้าคิดตรงนั้นเมื่อไหร่ ความประมาทผมจะเกิดโดยธรรมชาติ หรือคิดเอาที่ 2 หรือที่ 3 ก็ได้ ซึ่งคิดแบบนั้นไม่ได้ ต้องเอาที่ 1 หรือจัดเขตให้ได้มากที่สุด

“เราต้องเอาหลักการเมืองที่แท้จริงก่อน ถ้าไปเล่นรองหมด ก็หมดตัว ไม่อย่างนั้นก็เอาไปคนละหมื่นคะแนน มันไม่ได้ เพราะว่าเกิดมีการปรับรัฐธรรมนูญอีกก็พลิกตัวไม่ทัน แต่สิ่งที่ต้องมีไว้ก่อน คือ คนที่เติบโตมากับพรรค สส. ลูกพรรค จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ เปรียบเสมือนคนที่เติบโตมาด้วยกัน เพราะสร้างเรือ สร้างบ้านมาด้วยกัน ผมมีความเชื่อมั่นในคนกลุ่มนี้

...ผมขอเท่าทุนก็แฮปปี้แล้ว ไม่คิดอะไรมาก แล้วถ้าบทบาทผมในการเป็นพรรคขนาดกลาง อาจเป็นตัวแปร แล้วผมไม่ฉวยโอกาสตรงนี้ ไปเลือกทำกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง คนที่เป็นผู้นำรัฐบาลต้องเกรงใจ ถ้าทำอะไรไม่ดี เป็นตัวแทนประชาชน ไม่ต้องไปถึงอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมจะต้องให้ความเห็น พยายามทำดึงเขาให้ออกมาจากถนนนั้น เปลี่ยนเส้นทาง ทำไม่ได้ก็ถอดปลั๊ก”

นักการเมืองค้าน รธน. เพราะอยากมีอำนาจ

อนุทินประเมินว่า ​ที่ร่างรัฐธรรมูญฉบับนี้มีเสียงค้านจากพรรคการเมือง ก็เป็นเฉพาะระดับหัวๆ ที่ค้าน สส.ก็ยังอยากเลือกตั้ง ส่วนที่หัวออกมาค้านก็เพราะอยากเป็นนายกฯ มีอำนาจเยอะ ถึงค้าน​ ส่วนตัวก็มองว่าดี มีโอกาสเป็นนายกฯ ตามสูตรตาอยู่ หรือบางทีตัวเองเกิดเพี้ยน คปป.หรือสภา ก็ช่วยดึงขา​หน่อย หากยุคนี้สมัยนี้ใครคิดเข้ามาหาประโยชน์จากบ้านเมือง ก็ควรไปตายแล้วเกิดใหม่ดีกว่า ในแถบประเทศแอฟริกาทุกวันนี้โทษเข้าคุกมันกระจอกแต่โทษทางสังคมกระทบไปถึงลูก เมีย ญาติ เพื่อน เจ็บมาก

...สิ่งที่ยากทางการเมือง คือ คุณทำอะไรชั่วไว้ แล้วพยายามทำให้มันเดิน มันโคตรยาก ถึงยากที่สุด ถ้าลองมีแผลในตำแหน่งนายกฯ น่าดูเช่นกัน ยกตัวอย่างเหมือนตำแหน่งของผมในบริษัท ถ้าเอาเงินบริษัทไป 100 ล้านบาท โดยไม่ต้องขออนุมัติบอร์ด แล้วไปซื้อ ปูน เหล็ก ปิกอัพ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไปซื้อโรลส์-รอยซ์ให้ตัวเอง ผมก็อยู่ไม่ได้”

"ไม่เป็นตาอยู่ ให้ตาอิน ตานา จ้วงแทง" อนุทิน ชาญวีรกูล

ยอมเป็นนั่งร้าน​ให้บ้านเมืองเดินต่อได้ ​

แม้นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้เป็นนายกฯ แต่หากต้องปฏิเสธก็ไม่เสียดาย ยอมเป็นนั่งร้าน แต่ให้บ้านเมืองเดินไปได้ดีกว่า หากนายกฯ ทำตัวเพี้ยนก็ไม่ต้องรอให้องค์กรอิสระหรือใครมาตรวจสอบ เขาจะเป็นคนเตือนนายกฯ ด้วยตัวเอง หากไม่ฟังก็มีวิธีการทำให้หายเพี้ยน เช่น รัฐบาลเสนอกฎหมายมาก็ไม่เข้าไปโหวตให้ แค่นี้ก็ยุบสภาหรือให้พรรคเดิมเสนอนายกฯ ใหม่ ดีกว่าปล่อยให้ผู้นำไปสร้างความเสียหาย​ อย่างน้อยก็น่าจะได้คะแนนสงสารจากประชาชน หรือถ้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้ทำอะไรเด็ดๆ ให้บ้านเมืองทีนึงแล้วเลิก ไปสร้างคอนโดตรงที่ทำการพรรคภูมิใจไทย (หัวเราะ)

“มีคนมาบอกว่า ถ้ามาถึงตรงนี้ถ้าไม่ได้นายกฯ แสดงว่าผมวาสนาไม่ถึง ผมบอกไม่ใช่ มาถึงขนาดนี้แล้วไม่ได้เป็นนายกฯ แสดงว่าบ้านนี้ไม่มีวาสนาได้ผม ตั้งใจขนาดนี้แล้วเดือดร้อนอะไร เพราะนายกฯ อำนาจไม่เท่าประธานชิโน-ไทย​ ชี้ผิดเป็นถูกได้ เพราะเป็นคนให้โบนัสเงินเดือน

...ผมเดินเข้ามาตึกนี้ยังมีคนเปิดลิฟต์ให้ มีคนชื่นชมเรา เซ็นเช็คซื้อของ 600 ล้าน ปูน ทราย เสา เหมือนกับได้เอ็กเซอร์ไซส์ เราผู้รับเหมา เรายังเป็นผู้ซื้ออยู่ พวกนี้ทำให้เราไม่โลภมาก ไม่หลงใหล เพ้อเจ้อในอำนาจจอมปลอมที่เรามีอยู่ เพราะตรงนี้มันคือทุกสิ่ง บริษัทผมไม่มีหนี้ ไม่มีสิน ไม่มีอะไร ยังไงผมก็อยู่ของผมแบบนี้” อนุทิน กล่าวทิ้งท้าย

ดันถนนเชื่อมประเทศ แทนรถไฟเร็วสูง

แม้จะได้สะท้อนมุมมองต่างๆ ต่อเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ แต่แน่นอนไม่ว่าผลประชามติจะออกมาทิศทางไหน สำหรับพรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” ผู้กุมบังเหียนใหญ่ เอ่ยปากชัดเจนถึงเรื่องนี้พร้อมเลือกตั้ง “ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อหนึ่งสัปดาห์”

อนุทิน ยอมรับว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ถือว่า นิ่งมาก ซึ่งต้องชื่นชมทุกฝ่าย ไม่มีการแสดงออกอย่างที่เรียกว่ารุนแรง ต่างฝ่ายอยู่ในเกมตัวเอง คงไม่มีใครเชียร์อย่างเดียว ถ้าค้านก็ค้านอย่างสมเหตุสมผล อยู่ในแวดวงที่เปิดโอกาสให้แสดงความเห็นของแต่ละคน แต่ไม่มีการปลุกปั่น ปลุกระดมให้ออกมาต่อต้าน

“ผมคิดว่ารอ 2 เดือนกว่ามันจะมีจุดหักเหของการเมืองจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งทั่วไป โค้งแรก คือ ประชามติ สำหรับตัวผมเอง เคารพประชามติหากบอกเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ ก็จะมีแผนรับการเห็นด้วย แต่ถ้าบอกไม่เห็นด้วย ผมก็จะต้องมีแผนการปฏิบัติทั้งผมและของพรรค จะมีร่างใหม่หรือหยิบของปีไหนมาใช้ เราไม่มีส่วนรับรู้ เราได้หมด”

ส่วนที่มีการมองรัฐธรรมนูญนี้เอื้อกับพรรคขนาดกลาง อนุทิน ย้ำชัดว่า เป็นการคาดเดา ส่วนตัวและพรรค รวมถึงคณะกรรมการบริหาร ที่ได้ให้ยุทธศาสตร์ไป ไม่สนใจว่าจะได้หรือเสียเปรียบ พรรคยังมั่นคงกับนโยบายในการเลือกตั้งเมื่อเดือน ก.พ. 2557 ที่ถูกยกเลิกไป

“ผมยังเชื่อมั่นทั้ง 4 นโยบายพรรค จะทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวจากอาการป่วย เพื่อวางรากฐานให้ดีก่อนที่จะวิ่ง ฉะนั้น ถ้าพูดแล้วไม่เคยให้ความสำคัญกับรูปแบบการได้มาซึ่ง สส.หรือเรื่องผลพลอยได้ประโยชน์จากพรรคขนาดกลาง ถ้าผมคิดตรงนั้น จะประมาท มัวไปเน้นจนลืมนึกถึงว่าแก่นแท้พรรค ต้องให้ประชาชนเชื่อถือว่าเราสามารถทำสิ่งที่ดีต่อได้”

อนุทิน ขยายความต่อว่า ถ้ายึดตรงนั้นความประมาทจะเกิดโดยธรรมชาติ เอาที่ 2 หรือ 3 ก็ได้ ซึ่งคิดไม่ได้ ต้องเอาที่ 1 ถ้าไปเล่นรองหมดก็หมดตัว หากมีการปรับรัฐธรรมนูญอีกจะพลิกตัวไม่ทัน แต่สิ่งที่ต้องมีไว้ก่อน คือ คนที่เติบโตมากับพรรค สส. ลูกพรรค จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เปรียบเสมือนครอบครัว เพราะสร้างเรือน สร้างบ้านมาด้วยกัน

“ผมมีความเชื่อมั่นในคนกลุ่มนี้ ผมขอเท่าทุนก็แฮปปี้แล้ว ไม่คิดอะไรมาก แล้วถ้าบทบาทผมในการเป็นพรรคขนาดกลาง อาจเป็นตัวแปร แล้วผมไม่ฉวยโอกาสตรงนี้ไปทำกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง คนเป็นผู้นำรัฐบาลต้องเกรงใจ ถ้าทำอะไรไม่ดี ผมเป็นตัวแทนประชาชนไม่ต้องถึงอภิปรายไว้วางใจ ผมจะต้องให้ความเห็น พยายามทำดึงเขาให้ออกมาจากถนนนั้น เปลี่ยนเส้นทาง ทำไม่ได้ก็ถอดปลั๊ก”

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังสะท้อนมุมมองต่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องมาจากบรรยากาศที่อึมครึม ไม่ใช่เพราะคนไม่มีเงินจึงไม่ลงทุน แต่เป็นเพราะคนไม่กล้าลงทุนทั้งที่มีเงิน ด้วยหวังว่าจะรอดูให้เกิดความชัดเจนในอนาคตค่อยลงทุน หรือหากทอดเวลานานออกไปอาจทำให้สามารถซื้อสินค้าได้ถูกขึ้น

อนุทิน การันตีว่า เศรษฐกิจที่แย่วันนี้ไม่ใช่เรื่องของคนหมดตัว หากวันหนึ่งเกิดความชัดเจนเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น แต่ถึงวันที่เศรษฐกิจดีขึ้น ก็ต้องมีทั้งคนที่ได้กำไรและขาดทุน ไม่ใช่เศรษฐกิจดีแล้วทุกคนต้องขึ้นหมด หรือเศรษฐกิจแย่แล้วทุกคนจะลงหมด 

ส่วนโครงการต่างๆ อย่างรถไฟความเร็วสูงที่มีแนวคิดจะทำนั้น ต้องมาดูความสามารถและความต้องการที่แท้จริง เมื่อเทียบกับถนนที่เชื่อมโยงทั้งประเทศ อันไหนจะเกิดประโยชน์มากกว่ากัน หากทำรถไฟความเร็วสูงก็ต้องกู้เงินจากต่างประเทศ นำเข้าวัสดุอุปกรณ์กว่า 80% ต่างจากสร้างถนนเชื่อมโยงใช้งบประมาณน้อยกว่าแต่สามารถสร้างงานภายในประเทศได้มากกว่า

“เทียบงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท ที่จะนำไปใช้ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง แต่การทำถนนเชื่อมภายในประเทศ ใช้เงินแค่ 1 ล้านล้านบาท แต่เงินไม่ได้ออกข้างนอก เงินเอาไปใช้ซื้อวัสดุอุปกรณ์จากซัพพลายเออร์ในเมืองไทย ทั้ง ปูน หิน เหล็ก จะทำให้เงิน​จำนวนนี้หมุนอยู่ในประเทศสร้างมูลค่าไปอีกหลายรอบ” 

อนุทิน ชี้แจงให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงเรื่องนี้ว่า หากจะบอกว่าคิดอะไรโลว์เทค ก็ขอเวลาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ลุล่วงก่อน จากนั้นถึงเวลาจะมาต่อยอดทั้งรถไฟความเร็วสูงหรืออะไรไฮเทคทั้งหลาย ค่อยต่อยอดภายหลังได้ แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องมาดูว่าอะไรทำได้หรือไม่ ทำแล้วเหมาะสมกับเมืองไทยมากกว่า

“สรุปวันนี้ เราต้องสนับสนุนให้ผู้บริหารประเทศ ซึ่งก็คือรัฐบาลที่มีอำนาจสมบูรณ์ ให้เขาเดินไปตามโรดแมปที่วางไว้ จากนั้นเรื่องที่เหลือเราค่อยมาสานต่อ”

"ไม่เป็นตาอยู่ ให้ตาอิน ตานา จ้วงแทง" อนุทิน ชาญวีรกูล

อนุทิน บอกว่า จนถึงขณะนี้มีคนสนใจเข้าพรรคไม่น้อย แต่เมื่อสิ้นสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงหนักๆ สร้างความโศกเศร้าในระบบการเมืองไทย ดังนั้น ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ใจเย็นๆ มีเวลาปีกว่าๆ การเมืองไม่ยาก นโยบายที่ดีเก็บไว้ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับประชาชน แล้วก็เข้าใจประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศอื่น ก๊อบปี้ อเมริกา ญี่ปุ่น มีแบบนี้ ต้องมี แต่ต้องหาอะไรที่เหมาะสม ถูกต้อง สอดคล้องความต้องการประเทศ

เป็นคำถามที่หลายฝ่ายอยากรู้เล่นการเมืองอย่างไรถึงไม่มีศัตรู และอยู่มาถึงวันนี้ได้กับทุกฝ่าย อนุทิน ตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกว่า จะเรียกว่าเข้าได้กับทุกฝ่ายก็เหมือนไม่มีจุดยืน แต่จริงแล้วเป็นคนเข้ายาก สมมติถ้าคนโทรหาแล้วไม่อยากคุย ก็ไม่มีทางเจอ คือ มีระยะของตัวเอง

แต่คนที่ทำให้โกรธหรือเป็นศัตรูตลอดชีวิต คือ คนที่ทำร้ายครอบครัว ดูถูกบุพการี คนมาทำให้ลูกเสียใจ คนที่ทำร้ายตนอย่างแรง อย่างนี้เป็นศัตรูกันทั้งชาติ ทว่า ถ้าเป็นความขัดแย้งทางความคิด อุดมการณ์ การทำงาน หรือการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ต่างกัน อาจมีไม่พอใจแต่เคลียร์ง่าย

“บางคนบอกผมเป็นคนกระโชกโฮกฮาก คิดไรก็พูด เพราะผมเป็นคนแบบนี้ จะเป็นแบบนี้ มนุษย์เกิดต่างกัน คนที่เป็นบุคลิกแบบนี้ แต่ถ้าในใจคิดอีกอย่างก็เป็นอย่างที่เขาพูด ผมคิดอย่างไรก็พูดเพื่อให้เห็นว่าผมคิดแบบนี้ มันอยู่ที่เจตนาบริสุทธ์ ไม่มีเจตนาฆ่าใครหรือทำร้ายใคร ผมเกลียด ผมไม่พอใจ รักคนได้ แต่ต่างคนคนละชีวิต แต่อย่ามาข้ามถนนผม ถ้าคนที่เกลียดมาข้ามอาจเจอบางอย่าง”

ส่วนจะเป็นกาวใจให้ปรองดอง อนุทิน หัวเราะก่อนตอบว่า “ถึงเวลากาวไหลเอง” ทุกอย่างมันต้องมีสถานการณ์ช่วยบังคับด้วย ส่วนตัวเชื่อว่าประเทศไม่ถึงทางตัน เพราะความขัดแย้งในบ้านเมืองเกิดจากอุดมการณ์ทางความคิด บนพื้นฐานปฏิบัติต่างกัน ดังนั้น สบายมาก

“จับสองคนมานั่ง ไม่ต้องมีกาวใจ เอานวมสองคู่มาให้ เราอาจอาเจียน เพราะเกิดกอดคอกันออกมา ผมเชื่อว่าคนไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ เป็นความน่ารักของคนไทย ผมอาจซึมซับความคิดพ่อผมมา วันๆ ไม่สอนอะไร ส่งสุภาษิตจีน ฝรั่ง มาให้ มีอันนึงที่จำจนตายคือ มีศัตรูหนึ่งคน มากเกินไป มีเพื่อนพันคนน้อยเกินไป หรือสุภาษิตจีน อดทน อดกลั้น อย่าเอาเปรียบใคร อย่าให้ใครเอาเปรียบ คนบางคนมาคุยเพื่อเอาเปรียบผม ก็รู้ ผมยอมหรือไม่ยอม วันนี้เราอยู่สภาพนี้เรายอม ถ้าวันนึงอยู่อีกสภาพนึง เราไม่ทำแบบนั้น เราแฟร์ คนเคยเอาเปรียบเราต้องอาย แล้วคิดว่ามาเป็นศัตรูทำไมกับคนคนนี้ ผมมีแต่คนอิจฉา ไม่มีคนเกลียด”

แนบแน่น “เนทิน-อนุวิน”

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงเรื่องการเมืองหลายคนจับตาถึงความสัมพันธ์กับเนวินในเรื่องนี้ อนุทิน กล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจน ยังเป็น เนทิน กับ อนุวิน เพราะสนิทกันมาก แต่เนวินห่างการเมืองไปจนต้องดึงขากลับมา แต่ก็สะบัดออก คือ ค่อนข้างไปอินกับฟุตบอลเยอะเกินไป บางครั้งไปหาเพื่อคุยการเมือง แต่ก็พูดเพียง 5 นาที อีกชั่วโมงครึ่งคุยแต่เรื่องฟุตบอล ทำให้ระยะหลังไม่อยากไป คนเลยบอกว่าห่างกัน แต่ต่างคนต่างทำมาหากิน

“เขาก็ทำบริษัทรถแข่งกับฟุตบอลที่ได้ทุ่มทุนอลังการงานสร้างลงไป เอาให้คุ้มทน เขาคงรู้แล้วว่านรกมีจริงในทางธุรกิจ เปิดร้าน หาสปอนเซอร์ อีเวนต์ คนแคร์กระเป๋าตัวเอง การเมืองก็เป็นรอง เลยยังไม่มีอะไรต้องมานั่งสุมหัวกัน ก็ปล่อยให้เขาเฮฮาไปก่อน ต่างคนต่างแยกกันไป ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ”

“ผมกับเขามันลึกเกินกว่า เหมือนญาติพี่น้อง ขนาดทะเบียนบ้านผมก็อยู่ในบ้านเขา เราคบทำงานร่วมกันตั้งแต่ปี 2551 หุ้นส่วนกันมา 8 ปี ผ่านปีที่ 7 มาได้ ก็น่าจะผ่าน ค่อยไปกังวลตอนปีที่ 21 เพราะว่ามันต้องมีอะไรเข้าใจซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างสร้างประโยชน์แต่ละคนได้ ยังวินๆ ฉะนั้น ยังแน่นแฟ้นเหมือนเดิม ความแน่นแฟ้นไม่ใช่ว่าได้เจอกันทุกวัน อยู่ในศาลเจอกันทุกวัน สืบพยานทุกวัน คนนั้นโจทก์ คนนั้นจำเลย”