posttoday

ล็อกเป้าขอนแก่นโมเดล สกัดแผนเขย่าคสช.

27 พฤศจิกายน 2558

นับเป็นเรื่องที่สะเทือนความมั่นคงหลังพล.อ.ประวิตรให้ข่าวมีกลุ่มไม่หวังดีจากทางภาคอีสานจ้องจะก่อเหตุรุนแรงช่วงกิจกรรมระดับประเทศอย่างงานปั่นเพื่อพ่อ

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

นับเป็นเรื่องที่สะเทือนความมั่นคงในยุคที่มีรัฐบาลจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยว่าล่าสุดที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้ข่าวว่ามีกลุ่มไม่หวังดีจากทางภาคอีสานจ้องจะก่อเหตุรุนแรงสะเทือนขวัญในเมืองไทยช่วงเดือน ธ.ค.นี้ และที่น่าตกใจคืออาจจะเกิดเหตุในช่วงกิจกรรมระดับประเทศอย่างงานปั่นเพื่อพ่อ

การข่าวของ พล.อ.ประวิตร ที่ได้รับมาและออกสู่สาธารณชน จนนำไปสู่การเข้าควบคุมตัว 3 ผู้ต้องหา คือ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ ตำรวจตระเวนชายแดน และอีก 2 คนที่เป็นพลเรือน ทั้งหมดถูกรวบตัวที่ จ.ขอนแก่น พร้อมกระแสว่ากลุ่ม “ขอนแก่นโมเดล” ที่เคยถูกปราบไปเมื่อปี 2557 นั้นอยู่เบื้องหลัง 3 ผู้ต้องหานี้

จากข้อมูลของชุดสืบสวนหลังรวบ 3 ผู้ต้องหา น่ากลัวถึงขนาดที่ว่าเป้าหมายของความรุนแรงในครั้งนี้คือสองผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาลปัจจุบัน และจะก่อเหตุระหว่างที่มีกิจกรรมใหญ่ของประเทศ

ผลที่ว่าทำให้รัฐบาลทหารที่น่าเชื่อได้ว่ามีความมั่นคงและน่าจะสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมได้มากที่สุด ถูกตั้งคำถามอีกครั้ง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุรุนแรงขึ้นระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีอำนาจ แต่ที่ผ่านมามีถึง 3 ครั้งที่เกิดในกรุงเทพมหานคร เมื่อคนร้ายใช้ระเบิดเป็นต้นเหตุความรุนแรง เริ่มจากเดือน ก.พ. 2558 ที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม ต่อมากับเหตุคนร้ายวางระเบิดศาลอาญา และถูกโยงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงอยู่เบื้องหลัง และล่าสุดเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ที่แยกราชประสงค์ จากกลุ่มผู้ขัดแย้งที่เสียผลประโยชน์จากการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย

สะท้อนให้เห็นได้ว่า แม้รัฐบาลที่ควบคุมโดยทหารและน่าจะเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงมากที่สุด ยังคงมีช่องโหว่โดยเฉพาะด้านการข่าวทำให้คนร้ายหลุดรอดเข้ามาก่อเหตุ โดยที่รัฐบาลไม่ระแคะระคายมาก่อน ยิ่งนับตั้งแต่ที่ทหารเข้ามามีอำนาจ ยังเปิดหน้าชนไปยังทุกกลุ่มการเมืองทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย บวกกับความเข้มงวดต่างๆ ทำให้เกิดความไม่พอใจให้กับบางกลุ่ม ส่งผลให้รัฐบาลต้องตกเป็นเป้าโจมตีอยู่บ่อยครั้ง

และผลเสียไม่ได้ตกที่รัฐบาล แต่ความรุนแรงที่ว่ามาอยู่กับประชาชน

เหมือนกับกลุ่มที่จ้องจะก่อเหตุความรุนแรงไม่ต้องการให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะที่สงบเรียบร้อย จะเห็นได้จากช่วงต้นปี 2558 ที่ผ่านมา ผ่านการฉลองเทศกาลปีใหม่เพียงแค่ไม่ถึง 2 เดือนก็มีเหตุระเบิด จากนั้นเมื่อเรื่องพอเงียบหายไป เข้าสู่เดือน ส.ค. 2558 ผ่านพ้นกิจกรรมปั่นเพื่อแม่ที่ชื่นใจคนไทย และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสามัคคีกลมเกลียวจากคนในชาติ แต่แล้วก็มีเหตุเขย่าขวัญด้วยระเบิดครั้งใหญ่ที่แยกราชประสงค์

หรือล่าสุดที่เพิ่งรวบ 3 ผู้ต้องหาจาก จ.ขอนแก่น ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าจะมีเหตุรุนแรงส่งท้ายปีมาหลอกหลอนคนไทยอีกคำรบ เป้าหมายอาจส่งผลให้ช่วงเทศกาลปีใหม่ของเมืองไทย และการท่องเที่ยวที่จะดึงเม็ดเงินมาหมุนเวียนในประเทศให้มีความคึกคักต้องซบเซาแน่นอนหากเหตุที่ว่านั้นเกิดขึ้น

แต่โชคดีที่การข่าวยังแม่นและเร็วทันกลุ่มก่อเหตุรุนแรง ตำรวจและทหารสามารถติดเบรกเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ได้ทัน

กระนั้นก็ตาม ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลกำลังบริหารประเทศให้เดินหน้าและเรียบร้อยมากที่สุด แต่ที่ยังเดินหน้าควบคู่ไปกับรัฐบาล ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มความรุนแรงก็ยังดำเนินการอยู่

สภาวะที่การเมืองยังไม่นิ่งมากพอ แม้ว่าการขอความร่วมมือจากรัฐบาลให้กลุ่มที่เห็นต่างต้องหยุดเคลื่อนไหว ทั้งทางสงบและทางความรุนแรง แต่ดูเหมือนการร้องขอจะไม่เป็นผลมากนัก บวกกับไม้แข็งที่มักจะเห็น พล.อ.ประยุทธ์ ท้าทายไปยังกลุ่มต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัว แต่กลับเติมเชื้อความเกลียดชังในตัวรัฐบาลมากยิ่งขึ้นไปอีก

ส่งผลให้การข่าวทั้งจากฝั่งทหารและตำรวจจะต้องไม่ประมาทอย่างเด็ดขาด และต้องแม่นยำพอสมควรสำหรับข่าวเชิงลึกของกลุ่มที่เห็นต่าง เพราะเหตุรุนแรงที่ผ่านมาปฏิเสธอีกไม่ได้เช่นกันว่าการข่าวในยุคที่ทหารครองเมืองยังคงไม่แม่นยำพอ ทำให้เหตุรุนแรงเล็ดลอดมาสู่ประชาชน

แม้ว่ารัฐบาลจะชูนโยบาย “ประเทศไทยปลอดภัย” หรือ “Safety Thailand” เป็นวาระที่ทุกหน่วยงานต้องบูรณาการกัน เป้าหมายคือเพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลความปลอดภัยภายในประเทศ สร้างความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความปลอดภัยทางถนน ความปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ และภัยจากการก่อการร้าย ต่อยอดผลสัมฤทธิ์ให้เมืองไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าท่องเที่ยว มีความปลอดภัย และพร้อมรับมือกับภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

กระนั้น เมื่อประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทั้งที่เกิดขึ้นไปแล้ว และที่อาจจะเกิดขึ้นอีก นั่นย่อมส่งผลให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลต้องเสียหายมากยิ่งขึ้น การไว้ใจจากประชาชนที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ และผองเพื่อนทหารเข้ามาจัดการประเทศอาจจะลดน้อยลงยิ่งกว่าเดิม

อีกทั้งเมื่อรัฐบาลยังไม่ปลอดภัย ประชาชนจะฝากความหวังอย่างไรได้

และอาจจะเป็นผลตอบกลับไปสู่รัฐบาลขนานใหญ่ หากยังต้องการอยู่ในอำนาจต่อ เพื่อสะสางบ้านเมืองให้เข้าที่เข้าทาง