posttoday

ทูตจีนยันสัมพันธ์ไทย เกื้อกูล-ไม่เอาเปรียบ

18 พฤศจิกายน 2558

ประเทศไทยเปรียบเสมือน "เพื่อนเก่า" เมื่อเป็นเพื่อนกันการทำงานจึงต้องยึดหลักการเกื้อกูลบนผลประโยชน์ร่วมกัน

โดย...ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์ได้มีโอกาสพูดคุยกับ หนิงฟุู่ขุย เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทยและคณะ ซึ่งประกอบด้วย พ.อ.พิเศษหยางหนาน ผู้ช่วยทูตทหารบก และ หวงเหวยเหว่ย เลขานุการเอกอัครราชทูต โดยมี บุญถึง ผลพาณิชย์ นายกสมาคมกอล์ฟมิตรภาพไทย-จีน เป็นโต้โผ

หนิงฟู่ขุ่ย เปิดเผยว่า นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่กลับมาทำหน้าที่เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย ถือว่ามาทำงานกับประเทศไทยที่เปรียบเสมือน "เพื่อนเก่า" เมื่อเป็นเพื่อนกันการทำงานจึงต้องยึดหลักการเกื้อกูลบนผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกันต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อน เพราะค้าขายกันมานานและมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาตลอด จำนวนนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ

ท่านทูตหนิงฟู่ขุย กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลจีนมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาการค้า การลงทุน โดยในระยะ 5 ปีหลังจากนี้ไปจะยกระดับการพัฒนาเมืองรองและคนในระดับฐานรากให้มากขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพการเติบโตจของเศรษฐกิจให้ยั่งยืนเติบโตปีละ 6.5%

ดังนั้น ภารกิจที่สำคัญของรัฐบาลจีนคือจะต้องทำให้ประชากรจีนที่เป็นคนยากจนมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 700 เหรียญสหรัฐ ลืมตาอ้าปากได้ต้องทำให้ 70 ล้านคน พ้นขีดความยากจน ในปี 2020

อีกภารกิจอีกอันที่เป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลกลางของประเทศจีน คือ การต้องเพิ่มความเร็วให้กับการพัฒนาตัวเมืองและหัวเมือง

การยกระดับรายได้ของประชากรจีนนั้น จะทำให้มูลค่ารวมเศรษฐกิจของจีนในปี 2020 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้าต้องสูงถึง 17 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวเลขนี้เท่ากับจีดีพีของสหรัฐในปัจจุบัน และคาดการณ์ว่าปี 2020 แล้ว จีดีพีเฉลี่ยต่อหัวจะมากกว่า 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ

ทางการจีนจึงได้วางเป้าหมายได้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จีนจะนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเฉลี่ยต่อปีที่ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ทูตจีนชี้ช่องทางว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าจีนจะนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศรวม 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในแง่การลงทุนไปในต่างประเทศ โดยจีนจะมีการลงทุนไปต่างประเทศ ในแต่ละปีประมาณ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นใน 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มการลงทุนเป็น 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ นี่คือเงินที่ต้องไปลงทุนในต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย

แต่ตัวศักยภาพของการพัฒนาเศรษฐกิจให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน จะปรับปรุงให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและกลไกการตลาดให้เกิดความสมดุลดียิ่งขึ้น โดยอาศัยกลไกตลาดพัฒนาเป็นหลักไม่ใช่อาศัยมาตรการกลางของรัฐบาลเป็นหลัก เน้นการสร้างสิ่งใหม่ๆ นี่คือแผนการพัฒนา 5 ปีของรัฐบาลจีน ฉบับที่ 13

เมื่อถามถึงโครงการความร่วมมือรถไฟทางคู่ในประเทศไทย ในเส้นทางหนองคาย-กรุงเทพฯ-มาบตาพุด วงเงินลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาท ทูตจีนบอกว่า ขอใช้เวลาเร่งความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจรถไฟกับประเทศลาว ซึ่งได้ลงนามความร่วมมือการสร้างทางรถไฟลาว-จีนไปแล้ว โดยรัฐบาลจีนออกทุน 70% ลาว 30% มูลค่าในการลงทุนประมาณ 4 หมื่นล้านหยวนจีน และความยาวรถไฟ 418 กม. มีกว่า 60% สร้างบนสะพานและอุโมงค์ ซึ่งจะต้องสร้างเสร็จในปี 2020 นี่คือสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ

ขณะที่ รถไฟไทย-จีน ตามข้อมูลที่มีอยู่ ทูตจีน กล่าวว่า การก่อสร้างจริงๆ อาจจะต้องเลื่อนออกไป ตอนนี้รัฐบาลจีนได้ส่งมอบฉบับสมบูรณ์ของการวิจัยทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีให้แก่รัฐบาลไทยเรียบร้อยแล้ว ฉบับรายงานการวิจัยครอบคลุมทั้งเรื่องต้นทุนการก่อสร้าง และผลกำไรหลังการประมูลงาน

ตามแผนงานเดิมสิ้นเดือนนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างจีนและไทย ในครั้งที่ 9 ซึ่งจะต้องลงนามในเฟิร์มเวิร์ก หรือกรอบของการดำเนินงานในเรื่องของรูปแบบการร่วมทุน แหล่งเงินทุน และรายละเอียดในการก่อสร้าง

ในเรื่องที่ประเทศไทยจับตาดูในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งที่จีนให้ไทยแล้วคือ 2.5% ตามสกุลเงินเงินเหรียญสหรัฐ แต่ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ญี่ปุ่นให้ไทยคือ 0.5% ซึ่งเป็นสกุลเงินเยน ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เป็นความหมายเดียวกัน คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงข้อมูลตรงนี้ ทำให้คิดว่าจีนเก็บอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ไทยสูงกว่าญี่ปุ่น

ธนาคารญี่ปุ่นให้เงินกู้แก่ไทยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.4% คือ สกุลเงินเยน เมื่อใช้สวอปกลับมาเป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐ จะพบว่าได้ 2.56% ถ้าเทียบในอัตราส่วนสกุลเดียวกันคือ เหรียญสหรัฐจะพบว่า 2.5% ของจีนที่ให้ไทยจะต่ำกว่า 2.56% ที่ญี่ปุ่นให้ไทย คนที่ทำงานในวงการธนาคารและการเงินจะรู้ทันที

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็ได้บอกฝ่ายไทยและเน้นย้ำไปแล้วว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 2.5% นั้นสามารถเคลียร์ได้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าทางรัฐบาลจีนจะรับได้หรือไม่ในอัตรา 2% ตามที่รัฐบาลไทยเสนอมา

ในตอนท้ายของการพูดคุย ทูตหนิงฟู่ขุย ยืนยันชัดเจนว่า จีนจะไม่มีการนำนักลงทุนจีนมาแย่งงานก่อสร้างจากนักลงทุนไทยในโครงการทางรถไฟอย่างแน่นอน ขอให้สบายใจได้ เพราะต้องการพัฒนาการลงทุนกับไทยเยี่ยงมิตรประเทศที่ดีต่อกัน เกื้อกูลกัน ไม่เอาเปรียบกัน...