posttoday

“บิ๊กแป๊ะ” ผงาดนั่งเก้าอี้ผบ.ตร.คนใหม่

14 สิงหาคม 2558

ที่สุด ก.ต.ช. เลือก “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผบ.ตร. แทน พล.ต.อ. สมยศ ถือเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ที่ดำรงตำแหน่ง ด้วยอายุเพียงแค่ 55 ปี และอายุราชการที่จะเกษียณในปี 2563

ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

ในที่สุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนที่ 11 คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. ซึ่งเบียดแคนดิเดตคนสำคัญอย่างพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร. เข้าวินได้ตำแหน่งนายใหญ่รั้วปทุมวัน เจ้าของรหัสเรียกขาน “พิทักษ์1” หลังมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.)เพื่อพิจารณาคัดเลือกผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งที่ประชุมไร้เสียงคัดค้านหลังพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.คนปัจจุบัน เสนอชื่อของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ให้ที่ประชุมรับทราบเพียงชื่อเดียว และสุดท้ายได้รับเสียงสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผบ.ตร.คนต่อไปได้ โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์จะเข้าทำหน้าที่แทนพล.ต.อ.สมยศ  ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย. นี้

พร้อมกับเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ด้วยอายุเพียงแค่ 55 ปี และอายุราชการที่จะเกษียณในปี 2563 นั่นทำให้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการตำรวจไทย ด้วยว่าเป็นผบ.ตร.ที่อายุน้อยที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน

สำหรับประวัติของพล.ต.อ.จักรทิพย์ หรือ “บิ๊กแป๊ะ” นั้น เกิดเมื่อวันที่ 6 ต.ค.2502 เป็นชาวจ.ชลบุรี และเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ถือเป็นม้าแรงที่สุดของรุ่นเพราะก้าวกระโดดขึ้นตำแหน่งระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างรวดรเร็วอยู่หลายครั้ง

พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นที่รู้กันดีในวงการว่าเด่นในเรื่องงานสืบสวน ถือเป็นนักสืบระดับแนวหน้าของเมืองไทยที่ยังทำหน้าที่อยู่ในชั่วโมงนี้ และยังเป็นนักประสานที่เข้าได้กับทุกขั้ววงการเมืองไม่ว่าจะยุคสมัยใด เอกลักษณ์ส่วนตัวมักเป็นคนที่สนใจในเรื่องอาวุธปืน จนได้ฉายาที่เรียกกันติดปากว่า “แป๊ะ 8 โล” เนื่องจากนิยมพกปืนคู่กายหลายกระบอก และเคยเผยว่าต้องพกทุกวันขณะทำงานรวมน้ำหนักปืนของตัวเองแล้วน่าจะอยู่ที่ 8กิโลกรัม

นอกจากจบนักเรียนนายร้อยตำรวจเข้ารับราชการแล้ว ยังจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแคนตั๊กกี้ สหรัฐอเมริกา หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐเอกชนและการเมือง ศึกษาเพิ่มเติมหลักสูตรการสอบสวน (ATF-ILEA) และ หลักสูตร FBI, รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา และยังจบหลักสูตรโรงเรียนนักปกครองระดับสูง รุ่น 41 จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

ในส่วนชีวิตราชการตำรวจ เริ่มรับราชการจากตำแหน่ง นายเวรผู้บังคับการประจำกรมตำรวจ สำนักงานกำลังพล และ สารวัตรแผนกสายตรวจรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กองกำกับการสายตรวจ จนกระทั่งในปี 2537-พ.ศ. 2538 ได้ย้ายเข้าสู่กองปราบปรามในตำแหน่งรองผู้กำกับ ในปี พ.ศ. 2539 ได้เป็นนายเวรอธิบดีกรมตำรวจ (พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา) จากนั้นได้ทำงานในตำแหน่งงานด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะงานด้านปราบปราม เช่น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงคราม, รองผู้บังคับการกองตำรวจน้ำ, รองผู้บังคับการกองปราบปราม, ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานแห่งชาติ (ผบก.ตม.ทอช.) เป็นต้น

ปี พ.ศ. 2552 ได้ย้ายเป็นรักษาการ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ทำหน้าที่ประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย) ก่อนจะได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ในเดือนต.ค. 2553 ในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง เมื่อพรรคเพื่อไทยขึ้นมามีอำนาจ จึงมีคำสั่งให้ย้ายพล.ต.ท.จักรทิพย์ (ยศในขณะนั้น) ออกจากตำแหน่งผบช.น. ไปดำรงตำแหน่งผบช.ภ.9 ก่อนอยู่แค่ปีเดียวก็ขยับเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. และก้าวสู่เส้นทางการเติบโตในรั้วปทุมวัน

หลังจากรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ในวันที่ 24 พ.ค.ปีเดียวกัน ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แทนที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ ศูนย์ราชการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และถึงวันนี้ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นว่าที่ผบ.ตร.คนต่อไป เพื่อปกครองดูแลตำรวจทั่วประเทศกว่า 2 แสนนาย

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ถือว่าเป็นนายตำรวจที่ครบเครื่อง บู๊และบุ๋นได้ทุกอย่าง และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สืบภายภาคหน้าต่อไป