posttoday

เศรษฐกิจไทย โอกาสท่ามกลางความท้าทาย

06 กุมภาพันธ์ 2558

บทความชิ้นพิเศษโดย "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจไทย

โดย...ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

อัตราการขยายตัวเฉลี่ยของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงอย่างต่อเนื่อง เป็นประเด็นท้าทายที่น่าเป็นห่วง จากเดิมก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยเคยโตเฉลี่ยร้อยละ 7-8 เริ่มชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4-5 และล่าสุด หลังวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลก ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 2-3 อาจพูดได้ว่าศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential growth) ลดลงเรื่อยๆ การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นแม่แรงสำคัญในการยกระดับ Potential growth ของไทย

แต่น่ากังวลใจว่า การลงทุนของไทยที่ผ่านมายังไม่ฟื้นตัว ส่วนหนึ่งจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย ในขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันของระบบเศรษฐกิจแม้จะยังดีอยู่ ก็เริ่มมีความเปราะบางในบางด้าน โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นการให้ความสำคัญกับการปรับตัวของโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ การปฏิรูประบบสถาบันภาครัฐ และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน จึงจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยให้ประเทศกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง

เข้าโค้งเปลี่ยนผ่านโอกาสท่ามกลางความท้าทาย

ในระยะกลางถึงยาวนั้น ประเทศไทยจะกลับมาเติบโตในระดับที่แข่งขันกับประเทศอื่นได้ จำเป็นต้องปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องของการปรับตัวด้านปัจจัยการผลิตต่างๆ ได้แก่ แรงงาน ทรัพยากร หรือทุน หรือที่เรียกกันว่า ด้านอุปทาน (Supply side)

ทั้งนี้ หากมองไปในอนาคตข้อจำกัดทางด้านอุปทาน (Supply constraints) จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านประชากร ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมวัยชราอย่างรวดเร็ว โดยได้เริ่มผ่านจุดที่ประชากรวัยแรงงานมีจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกำลังจะมีขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธ.ค. 2558 นอกจากนี้อีกเพียงประมาณ 10 ปี นับจากการเปิดการค้าเสรีในอาเซียน ประชากรของไทยจะเริ่มลดลงเป็นประเทศแรกในกลุ่มอาเซียน ทางด้านทรัพยากร โดยเฉพาะแหล่งพลังงาน ประเทศไทยมีค่อนข้างจำกัด ยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน จะเห็นว่าประเทศไทยมีแหล่งพลังงานที่น้อยกว่ามาก ในขณะที่ด้านการสะสมทุนของประเทศก็ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งรวมถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีต่างๆ ของไทย ที่จะช่วยยกระดับผลิตภาพของการผลิต (Productivity) ก็ไม่มีการพัฒนาเท่าที่ควร

ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานราคาถูก ทรัพยากรและปัจจัยทุนเดิมๆ เพื่อขยายตัวอย่างในอดีตที่ผ่านมาคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว หากไทยยังจะใช้แนวทางการพัฒนารูปแบบเดิมๆ คงจะเห็น GDP ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3 ไปอีกใน 10 ปีข้างหน้า เทียบกับประเทศในภูมิภาคแล้ว เรียกได้ว่า ไทยจะโตแบบตกรถไฟ ขณะเดียวกันหากพิจารณาไปพร้อมกับการที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอีกไม่นาน อาจพูดง่ายๆ ได้ว่า เป็นประเทศที่จะแก่ก่อนรวย เพราะยังไม่ทันที่ไทยจะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ก็กลายเป็นประเทศที่ประชากรเข้าสู่สังคมวัยชราแล้ว รวมทั้งยังไม่ได้เตรียมการออมเพื่อชราภาพที่เพียงพอและทั่วถึงอย่างเป็นระบบ ซึ่งต่อไปจะทำให้เกิดปัญหาจนตอนแก่อีกด้วย

อย่างไรก็ดี หากประเทศไทยปรับกลยุทธ์การพัฒนาให้เหมาะสม ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ โดยการปฏิรูปและปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจให้อิงการเติบโตที่มาจากการเพิ่ม Productivity ควบคู่กับการพัฒนาอย่างทั่วถึง GDP อาจสามารถกลับมาโตได้เฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี ในอีก 10 ปีข้างหน้า

จะฉวยโอกาสท่ามกลางความท้าทายได้อย่างไร

เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเติบโตในอัตราดังกล่าวได้จริง ต้องเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญตั้งแต่วันนี้ โดยภาคเอกชนซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ต้องปรับตัวภายใต้ข้อจำกัดด้านแรงงานและทรัพยากรอื่นๆ ด้วยการขยายการผลิตและตลาดไปต่างประเทศ การเพิ่มผลผลิตที่มีมูลค่าเพิ่ม ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมีกลยุทธ์ รวมไปถึงการเติบโตอย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ ประเทศไทยควรฉวยโอกาสแรงหนุนจากกระแสแนวโน้มเศรษฐกิจและสังคมโลก (Mega trends) ที่จะช่วยให้เกิดการปรับตัวเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ ดังกล่าวใน 3 ด้านสำคัญ

แรงหนุนด้านแรก คือ ใช้โอกาสจากการเชื่อมโยงกับต่างประเทศ (Connectivity) จากการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศอาเซียน หรือ AEC ให้สูงที่สุด ทั้งการเพิ่มการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยในปัจจุบันการค้าการลงทุนระหว่างกันในภูมิภาค (AEC intra-regional trade) มีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ เทียบกับกลุ่มประเทศอื่น เช่น NAFTA หรือ European Union นอกจากนี้ควรเร่งเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกันเพื่อเตรียมความพร้อมเป็นฐานการผลิตที่เสริมกันเป็นห่วงโซ่การผลิต (Supply chain) และยังเป็นโอกาสในการขยายตลาดไปสู่ AEC และภูมิภาคเอเชีย ซึ่งผู้บริโภคกำลังมีระดับรายได้สูงขึ้น

แรงหนุนด้านที่สอง คือ การใช้โอกาสจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (New Technology) อาทิ การสื่อสารและการทำธุรกรรมใหม่ๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต และระบบออโตเมชั่น ซึ่งไทยสามารถใช้โอกาสจากเทคโนโลยีเหล่านี้สนับสนุนการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการ เพื่อลดการพึ่งพาแรงงาน ลดต้นทุน ยกระดับมูลค่าเพิ่มของผลผลิต ขยายตลาดและการให้บริการที่ทั่วถึง รวมถึงเร่งผลักดันระบบเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งต้องลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนามากกว่านี้ เพราะจะเป็นปัจจัยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยที่สำคัญ

แรงหนุนด้านที่สาม คือ การใช้โอกาสจากการพัฒนาเข้าสู่สังคมเมือง (Urbanization) ซึ่งจะมาพร้อมกับการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิ การคมนาคม โทรคมนาคม โดยถือเป็นการลงทุนที่คุ้มต่อขนาดจากตัวเมืองที่จะใหญ่ขึ้น การลงทุนจำนวนสูงดังกล่าวจะเป็นโอกาสที่ภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนการลงทุนที่สำคัญ โดยภาคเอกชนสามารถเร่งลงทุนตามกันไปได้ ทั้งนี้หากต้องการให้ประเทศขยายตัวได้เฉลี่ยร้อยละ 5 สัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28-30

ดังนั้น ภาคธุรกิจของไทยต้องฉวยโอกาสจากแรงสนับสนุนที่มาพร้อมกับ Megatrends ทั้ง 3 ด้าน เพื่อให้เกิดการปรับตัวภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ รวมถึงการยกระดับศักยภาพของตนเองและของประเทศโดยรวม

ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องอาศัยระบบสถาบันภาครัฐที่เข้มแข็ง (Strong institutions) ช่วยกำหนดกฎกติกาต่างๆ ร่วมด้วย อาทิ กระบวนการทางกฎหมาย การบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งจะช่วยสร้างขอบเขตและแรงจูงใจที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับภาคส่วนต่างๆ ในสังคมและเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ระบบสถาบันภาครัฐของไทย ยังไม่ได้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว และกลับบิดเบือนให้เกิดการใช้ทรัพยากรผิดที่ผิดทางด้วยในบางครั้ง ซึ่งเกิดจากแรงต้านหลักๆ 3 ด้าน ได้แก่

แรงต้านที่หนึ่ง คอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการยกระดับศักยภาพประเทศเป็นอย่างมาก ส่งผลให้โครงการหลายๆ โครงการของภาครัฐล่าช้า หรือหยุดลงกลางคัน เป็นภาระความเสียหายต่อประเทศชาติ เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว ภาครัฐควรกำหนดบทบาทและกติกาให้ชัดเจน ซึ่งหมายถึงการมีผู้รับผิดชอบ (Accountability) มีเป้าที่ชัดเจนและวัดได้จริง ลดการใช้ดุลยพินิจ และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเพิ่มความโปร่งใสและเปิดเผยข้อมูล ตัวอย่างที่ดีที่ภาครัฐกำลังเริ่มนำมาใช้คือ สัญญาคุณธรรม (Integrity pact) ซึ่งเป็นกลไกป้องกันคอร์รัปชั่น ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาคคอร์รัปชั่น โดยมีการเปิดเผยข้อมูลในทุกขั้นตอนของโครงการ และเปิดให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการตรวจสอบโครงการ เพื่อสร้างความโปร่งใสและปิดช่องโหว่การทุจริต แต่จะสัมฤทธิผลได้ ต้องอาศัยทุกฝ่ายในการร่วมมือ

แรงต้านที่สอง ข้อจำกัดของระบบบริหารจัดการภาครัฐ โดยบทเรียนที่เห็นได้ชัด คือ รัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นตามลำดับในระบบเศรษฐกิจไทย หากการให้บริการพื้นฐานที่สำคัญขาดคุณภาพ ประสิทธิภาพต่ำ ต้นทุนสูง ย่อมเป็นตัวถ่วงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวมไปด้วย ดังนั้นการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้สัมฤทธิผล วางโครงสร้าง กลไก และกติกาที่เหมาะสม เพื่อให้รัฐวิสาหกิจมีความเข้มแข็ง ทำในสิ่งที่ควรทำ ทำอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และทำอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล จึงเป็นสิ่งจำเป็น

แรงต้านที่สาม การบิดเบือนกลไกตลาดที่ก่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรผิดที่ ผิดทาง ซึ่งอาจเกิดจากภาครัฐอุดหนุนราคาโดยไม่เหมาะสม หรือกำหนดกฎเกณฑ์ที่จำกัดการแข่งขัน เช่น ก่อให้เกิดความได้เปรียบ เสียเปรียบระหว่างกิจการของรัฐและของเอกชน หรือจำกัดการมีส่วนร่วมจากต่างประเทศในบางกิจการ ทั้งนี้การแข่งขันเป็นกลไกสำคัญให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องอาศัยภาครัฐเพิ่มบทบาทกำกับดูแลนโยบายที่ส่งเสริมผลิตภาพมากขึ้น และหากจำเป็นต้องแทรกแซงกลไกตลาด ก็ควรมีกลไกบริหารจัดการที่รัดกุมและโปร่งใส เลี่ยงการอุดหนุนราคาในลักษณะที่บิดเบือนตลาดสูง มีภาระการคลังสูงและใช้งบต่อหัวสูง

นอกจากนี้ เพื่อให้การเติบโตแบบไม่สะดุด จำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะการป้องกันการก่อหนี้เกินตัว ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน โดยวางกรอบวินัยทางการเงินการคลัง เพื่อดำเนินนโยบายแบบมีความรับผิดชอบ และไม่ก่อหนี้เกินตัว พร้อมกับการปฏิรูประบบประกันสังคมให้ยั่งยืน และผลักดันการออมชราภาพของแรงงานนอกระบบอย่างจริงจัง

ท้ายสุดนี้ ช่วงเวลานี้เป็นโค้งสำคัญของประเทศไทย เราสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยภาคธุรกิจต้องรีบปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแส Megatrends ที่จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ภาครัฐก็ต้องทำหน้าที่สนับสนุนและเอื้อให้เกิดการปรับตัวดังกล่าว โดยปฏิรูประบบสถาบันภาครัฐให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อลดข้อจำกัดและแรงต้านต่างๆ และทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็ง รองรับแรงเสียดทานได้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ ยั่งยืน และทั่วถึง