posttoday

ลูกหนี้ผู้มีพระคุณ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์

13 มิถุนายน 2553

เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร มีอันเป็นไปต้องหลบลี้หนีคดีอยู่ในต่างประเทศก็เป็นที่รู้กันว่าบุคคลที่ตามไปอยู่เป็นเพื่อนคอยเอาใจใส่ดูแลให้ความช่วยเหลือคือไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์

เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร มีอันเป็นไปต้องหลบลี้หนีคดีอยู่ในต่างประเทศก็เป็นที่รู้กันว่าบุคคลที่ตามไปอยู่เป็นเพื่อนคอยเอาใจใส่ดูแลให้ความช่วยเหลือคือไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์

โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร มีอันเป็นไป ต้องหลบลี้หนีคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ออกไประเห เร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศด้วยความว้าเหว่วังเวงนั้น ก็เป็นที่รู้กันว่าบุคคลที่ตามไปอยู่เป็นเพื่อนคอยเอาใจใส่ดูแลให้ความช่วยเหลือในต่างแดน คือ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์

เราจึงน่าจะมาทำความรู้จักตัวตนและความเป็นมาเป็นไปของ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ คนนี้ดู

ลูกหนี้ผู้มีพระคุณ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ไพโรจน์

ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ มีพื้นเพทางครอบครัวเป็นชาวประมง เกิดที่บ้านพลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2498 จบการศึกษาระดับอนุปริญญาจากวิทยาลัยพระนคร

เมื่อจบการศึกษาระดับอนุปริญญาแล้ว ก็เข้าไปทำงานในฐานทัพอเมริกันที่สัตหีบ มีโอกาสได้ฝึกปรือภาษาอังกฤษในฐานทัพสหรัฐ แล้วได้พบรักและแต่งงานกับสาวสวยที่ชื่อ พิไลพรรณ เชิดธรณินทร์ ลูกสาวสุดรักของ ประทีป เชิดธรณินทร์ เลขานุการส่วนตัวของ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ทำให้มีโอกาสเข้าไปใกล้ชิดนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างหลากหลาย จึงเริ่มทำธุรกิจการส่งแรงงานออกไปขายในประเทศตะวันออกกลางในยุคแรกๆ

ด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีมีเสน่ห์ และคล่องแคล่วมีความเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร เพียงระยะเวลาไม่กี่ปีในการทำธุรกิจแรงงานในตะวันออกกลาง ไพโรจน์ก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างสูงจากบรรดามหาเศรษฐี และเจ้าราชวงศ์ต่างๆ ในตะวันออกกลาง จนสามารถดึงทุนและนักธุรกิจใหญ่จากตะวันออกกลางมาลงทุนในประเทศไทยได้อย่างไม่น่าเชื่อ แล้วยังสามารถดึงกลุ่มนักธุรกิจไทยฝีมือดีมาร่วมกันบริหารทำให้ธุรกิจการลงทุนของมหาเศรษฐีจากตะวันออกกลางขาดทุนย่อยยับภายในพริบตาอีกด้วย

แม้ธุรกิจที่ไพโรจน์ชักนำเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะประสบความล้มเหลว แต่ด้วยบุคลิกความสามารถที่ทำให้เกิดความเชื่อถือก็มีนักธุรกิจต่างประเทศและนักธุรกิจไทยจำนวนไม่น้อยยอมรับนับถือ และต้องการใช้บริการของไพโรจน์เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ จึงจะเห็นได้ว่าในยุครัฐบาลเปรม 1 ถึงเปรม 3 อันเป็นช่วงเวลาที่พรรคชาติไทยของ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร และ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กำลังมีอิทธิพลบารมี ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ซึ่งมีพ่อตาคอยเป็นสะพานเชื่อมต่อสายสัมพันธ์ทางการเมืองให้ก็ได้เดินเข้าเดินออกทำเนียบรัฐบาล เป็นนักคิดโครงการหาโปรเจกต์ต่างๆ มาเสนอจนได้รับความไว้วางใจจาก พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร และ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ากันว่าในช่วงเวลานี้เองที่ไพโรจน์สามารถไปติดต่อตกลงกับกระทรวงกลาโหมอังกฤษเพื่อตั้งบริษัทเป็นนายหน้าค้าขายอาวุธให้กับกระทรวงกลาโหมของอังกฤษได้สำเร็จ โดยไพโรจน์เป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ว่านี้ และมีชื่อของบุคคลในวงการเมือง วงการทหารที่มีอำนาจอิทธิพลจำนวนหนึ่งเป็นกรรมการ

หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2529 ไพโรจน์เริ่มมีหนี้สินราว 30-40 ล้านบาท โดยเงินเหล่านี้หมดไปกับการสนับสนุนการเลือกตั้ง ทำให้ไพโรจน์มีเพื่อนและสนิทสนมกับนักการเมืองมากหน้าหลายตา เช่น เนวิน ชิดชอบ และเพื่อนกลุ่ม 16 สุธรรม แสงประทุม สมพงษ์ สระกวี ที่ไพโรจน์คอยให้ความช่วยเหลือเกี้อกูลมาโดยตลอด จนถึงวันนี้จะมีใครเชื่อว่าสูทชุดแรกของนักการเมืองหนุ่มที่ชื่อ เนวิน ชิดชอบ นั้น ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ เป็นผู้ออกเงินตัดให้ใส่ ครั้นเมื่อ พิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ เข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แทนที่ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ จากนั้นไม่นานบริษัทนายหน้าค้าขายอาวุธกับกระทรวงกลาโหมอังกฤษก็กลายเป็นบริษัทในเครือของธุรกิจที่ พิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ ดูแลอยู่อย่างง่ายดาย

แล้วไพโรจน์ก็ต้องเหินห่างผู้ใหญ่ทางการเมืองออกมาด้วยความเจ็บช้ำ เพื่อนผู้หวังดีที่มองเห็นความเติบโตของธุรกิจอุตสาหกรรมแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกที่นับวันจะเติบโตต่อไปไม่หยุดยั้ง จึงแนะนำไพโรจน์ให้กลับไปขุดทองที่บ้านพลาและบ้านฉางอันเป็นบ้านเกิด ไพโรจน์โชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจาก ประยูร จินดาประดิษฐ์ แห่งธนาคารทหารไทย และ วานิช ไชยวรรณ แห่งไทยประกันชีวิต ให้เข้าไปซื้อที่ดินบริเวณบ้านฉางตั้งแต่กลางปี 2530 ทำให้มีที่ดินครอบครองกว่า 2,000 ไร่ การทำธุรกิจซื้อขายที่ดินในช่วงนี้ทำให้เขาสามารถชำระหนี้เก่าได้หมด ชื่อเสียงของ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ในฐานะเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ทางฝั่งทะเลตะวันออกเริ่มโด่งดัง และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมธุรกิจ และบ้านฉางกรุ๊ปในฐานะบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ยืนหยัดขึ้นมาเป็นบริษัทค้าขายที่ดินที่มีผู้คนวิ่งเข้าหามากที่สุดอีกบริษัทหนึ่ง

ในช่วงเวลาที่บ้านฉางกรุ๊ปกำลังเจริญเติบโตอยู่นั้น ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ก็ได้เข้าไปมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มการเมืองและนักการทหารที่มีอำนาจบารมีจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นักการเมืองกลุ่ม 16 ที่นำโดย เนวิน ชิดชอบ กลุ่มนักธุรกิจ เช่น เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ พล.อ.อายุพูล กรรณสูต สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง และอื่นๆ ทั้งยังมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับความพยายามที่จะไปบริจาคเงินให้พรรคการเมืองพรรคใหญ่ในอเมริกา ด้วยความหวังว่าจะทำให้พรรคการเมืองใหญ่พรรคนั้นช่วยสนับสนุนให้สหรัฐอเมริกาเปลี่ยนนโยบายทางการค้าบางประการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจการค้าของคนไทยในสหรัฐอเมริกา และเพื่อประโยชน์ของการลงทุนแก่นักธุรกิจอเมริกันที่จะเข้ามาลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทย แต่ยังทำการไม่สำเร็จก็ถูกทางการสหรัฐอเมริกาจับได้เสียก่อน ทำให้นักประสานประโยชน์คนไทยในสหรัฐอเมริกาที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยต้องได้รับความเดือดร้อนไปตามๆ กัน

หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เพียง 3 ปี ไพโรจน์ต้องประสบความยากลำบากในชีวิต กลายเป็นบุคคลล้มละลายตามคำฟ้องของบริษัทเงินทุน สินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ในช่วงที่ยากลำบากนี้ไพโรจน์ก็มิได้อยู่นิ่งเฉย ยังคงใช้ความสามารถเฉพาะตัวทำมาหากินจากการรับงานประสานประโยชน์ให้กับนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับการรับเป็นนายหน้าขายอีลิทการ์ดให้กับรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าออกเพื่อติดต่อธุรกิจภายนอกประเทศเป็นว่าเล่น ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินของนักธุรกิจมหาเศรษฐีชาวเชียงใหม่ที่รักใคร่สนิทสนมกันมานานจนยอมออกบัตรเครดิตบัตรเสริมมูลค่านับล้านบาทให้ติดตัวไว้ใช้ ทำให้ไพโรจน์สามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างไม่มีอุปสรรคใดๆ จนกระทั่งถูกปลดจากการล้มละลายเมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2547 โดยที่ในเวลานั้นไพโรจน์ได้ไปเปิดบริษัทเพื่อติดต่อทำธุรกิจแล้วในอังกฤษและดูไบ

ต่อมาระหว่างที่ ทักษิณ ชินวัตร หนีคดีไปอยู่ที่อังกฤษแล้วเริ่มต้นทำธุรกิจซื้อขายสโมสรฟุตบอลพร้อมๆ กับพยายามที่จะทำธุรกรรมทางการเงินที่นำไปซุกซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ซึ่งมีธุรกิจอยู่แล้วก็เข้าไปช่วยเหลือ นับตั้งแต่การแนะนำให้ว่าจ้างคนไทยที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดผู้มีฝีไม้ลายมือในการทำธุรกรรมทางการเงินมาทำการยักย้ายถ่ายเทเงินให้ รับหน้าที่ทำงานประสานประโยชน์ในทุกเรื่อง แล้วยังช่วยจัดการคลายความคิดถึงบ้านให้แก่ทักษิณ ด้วยการพาไปคลายความเครียดในบ่อนกาสิโน พาเข้าผับและจัดหาเด็กๆ ที่ต้องการลำไพ่พิเศษมาเป็นลูกคู่ในการร้องคาราโอเกะในบ้านพักส่วนตัว จนพจมานเข้าใจผิดคิดว่าไพโรจน์ชักจูงทักษิณให้ออกนอกลู่นอกทางด้วยการพาเด็กๆ ไปช่วยแก้เหงา ทำให้ไพโรจน์ไม่อาจเข้าหน้าพจมานได้อีกเลย

ครั้นเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร มีปัญหาในเรื่องที่มาที่ไปของเงินในการซื้อขายทีมฟุตบอลที่อังกฤษ ซึ่งไพโรจน์เป็นนายหน้าในการซื้อขายกับเงินอีกจำนวนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐที่ไปปรากฏความเคลื่อนไหวไหลเวียนเข้าออกผิดปกติในอังกฤษ โดยที่ทักษิณไม่อาจชี้แจงที่มาที่ไปของเงินให้ชัดเจนได้ ทักษิณ ชินวัตร จึงกลายเป็นบุคคลต้องห้ามของประเทศอังกฤษ ความเดือดร้อนของทักษิณในครั้งนี้ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ก็ได้หาทางบรรเทาให้ด้วยการติดต่อขอให้ทักษิณเข้าไปพักอาศัยอยู่ในดูไบ พร้อมกับวิ่งเต้นซื้อบ้านที่ดูไบให้อยู่อย่างสบาย ก่อนที่จะร่วมมือกันทำธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในดูไบ แต่ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จนัก แล้วไพโรจน์ก็ออกเดินทางไปประเทศต่างๆ เช่น ปาปัวนิวกินี ฟิจิ ยูกันดา มอนเตเนโกร ตลอดจนประเทศแอฟริกาทั้งหลายเพื่อหาลู่ทางติดต่อธุรกิจ และหาที่อยู่อย่างถาวรให้กับทักษิณ

เมื่อทักษิณมีความปรารถนาอยากจะได้สัญชาติมอนเตเนโกร เพื่อจะได้เข้าออกประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปได้ ไพโรจน์ก็วิ่งไปหาเพื่อนชาวกรีซที่ทำธุรกิจเดินเรือขนาดกลางในตุรกี ซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นอันดีกับนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลในมอนเตเนโกร ช่วยเป็นสะพานชักพาให้ ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปซื้อเกาะ และได้เป็นพลเมืองชาวมอนเตเนโกรจนสำเร็จ

แต่เนื่องจากจะต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจในส่วนต่างๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ทำให้ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นเครื่องมือในการติดต่อธุรกิจ แม้ทักษิณจะช่วยเหลือให้ค่าใช้จ่ายมาตลอดแต่ก็ไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับปริมาณของงานที่จะต้องทำเพื่อทักษิณ อีกทั้งนิสัยส่วนตัวของไพโรจน์ที่เป็นคนใจใหญ่ ใจดี พอมีก็ต้องแจก เงินที่ได้รับจากทักษิณจึงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ทำให้ไพโรจน์ต้องเบิกค่านายหน้าจากการขายทีมฟุตบอลให้กับทักษิณ ที่เคยตกลงไว้ว่าจะได้ 10% ของมูลค่าการขายออกไปเรื่อยๆ

เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ถูกเจ้าชายแขกบ้านนอกแห่ง Abu Dhabi United Group ที่มาซื้อทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี เบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงินงวดสุดท้ายด้วยเหตุผลหลายอย่างหลายประการ ถึงแม้จะยังไม่ได้เบิกค่านายหน้างวดสุดท้ายในส่วนที่ทักษิณถูกเบี้ยว แต่ไพโรจน์ยังคงเป็นหนี้ค้างจ่ายของ ทักษิณ ชินวัตร อยู่ถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ครั้นเมื่อไพโรจน์ปิดบริษัทส่วนตัวที่ดูไบ เดินทางเข้าออกไปทำธุรกิจเฉพาะแต่ในจีนแผ่นดินใหญ่และอังกฤษ อันเป็นถิ่นต้องห้ามที่ทักษิณไม่อาจจะเหยียบย่างเข้าไปได้

หนี้สินและความผูกพันระหว่าง ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ กับ ทักษิณ ชินวัตร จะจบลงอย่างไรจึงเป็นเรื่องที่น่าติดตาม โดยไม่ต้องไปนึกถึงรอยแค้นของ พายัพ ชินวัตร ที่อุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจเอาของรักของหวงอย่างสุดหัวใจไปฝากเอาไว้ให้ช่วยดูแลรักษา แต่ท้ายที่สุดไพโรจน์ก็ฉวยเอาไปเป็นสมบัติของตัวเสียเอง อันเป็นเหตุใหญ่ที่ทำให้ไพโรจน์ไม่อาจจะมาปรากฏตัวให้ใครๆ ได้เห็นในวันนี้