posttoday

"ยิงปืนขึ้นฟ้า"ความเชื่อที่แลกด้วยเลือด

02 มกราคม 2558

หารู้ไม่ว่าหลังเหนี่ยวไก กระสุนปืนมิได้หายไปในอากาศ แต่อาจตกลงมาใส่ผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายได้

โดย...โพสต์ทูเดย์ออนไลน์

"ยิงปืนขึ้นฟ้า"ยังคงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหมู่นักเลงปืนบางกลุ่มบางย่าน ภายใต้เหตุผลแตกต่างกันไปไม่ว่าจะคึกคะนอง เฉลิมฉลอง แสดงความเคารพนับถือ แม้กระทั่งความเชื่อที่ว่าขับไล่สิ่งชั่วร้าย

หารู้ไม่ว่าหลังเหนี่ยวไก กระสุนปืนมิได้หายไปในอากาศ แต่อาจตกลงมาใส่ผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายได้

หลากหลายคดีสะเทือนขวัญ

เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเข้าหน้าเทศกาลครั้งใด เสียงคำรามปืนกึกก้องก็จะดังตามมาด้วยทุกครั้ง เรียกว่านั่งสังสรรค์เฮฮากับครอบครัว เดินอยู่ข้างถนน หรือแม้แต่นอนหลับอยู่บนเตียง วันดีคืนดีความตายก็อาจมาเยือนโดยไม่รู้ตัว

ปัดฝุ่นแฟ้มคดีเก่าๆ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.52 ด.ช.ยศศิริ ธรรมกถึก อายุ 13 ปี ชาวจ.เพชรบุรี ถูกกระสุนปริศนาตกใส่ลงกลางศีรษะ ขณะกำลังเรียนว่ายน้ำอยู่ในสระจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ภายหลังทราบว่ามีการยิงปืนขึ้นฟ้านับร้อยนัดในงานบวชที่วัดใกล้เคียง พบทั้งปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. 11มม. ปืนลูกซอง และเอ็ม 16 ตกกระจายเกลื่อนกลาด

4 พ.ย.52 ด.ญ.ผกาพรรณ โตทรัพย์ หรือน้องมายด์ อายุ 11 ขวบ เสียชีวิตจากกระสุนตกใส่ ขณะยืนดูโคมลอยในงานเทศกาลลอยกระทงบนระเบียงคอนโดมิเนียมย่านสายไหม กทม.

เที่ยงคืนเศษของวันที่ 1 ม.ค.54 ขณะที่ด.ญ.นิอิฟตีนา กือจิ อายุ 6 ขวบ ชาวจ.ยะลา กำลังนอนหลับอยู่ในบ้าน จู่ๆก็มีกระสุนปืนทะลุหลังคาตกใส่ศีรษะจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ตำรวจสันนิษฐานว่ามาจากการยิงปืนฟ้าฉลองวันขึ้นปีใหม่

21 ม.ค.55 ชัยณรงค์ จันทอุไร หนุ่มพัทลุงวัย 36 ปี นอนเสียชีวิตจมกองเลือดภายในบ้าน พบบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่ไหปลาร้าด้านซ้าย 1 นัด ตร.ตรวจสอบพบว่าเป็นฝีมือวัยรุ่นข้างบ้านที่ชอบยิงปืนขึ้นฟ้าเวลามีงานเลี้ยง

23 มิ.ย.56 ที่อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นภาพร แสงภักดี อายุ 37 ปี โทรแจ้ง191ว่ามีกระสุนปืนตกใส่หลังคาเป็นรูใหญ่ ขณะกำลังล้างจานอยู่ในครัว กระสุนเฉียดหัวไปนิดเดียว ตร.จับวัยรุ่นได้หนึ่งคน สารภาพว่ายิงปืนฉลองงานบวชเพื่อนด้วยความคึกคะนอง

2 ม.ค.56 น.ส.ลลิตา โตมี อายุ 24 นอนพักผ่อนอยู่ที่บ้านอ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ตอนนั้นเองที่กระสุนปริศนาทะลุหน้าต่างกระเด็นถูกผนังจนถูกสะเก็ดเข้าที่ใบหน้าได้รับความเจ็บ ตรวจสอบพบว่าเป็นฝีมือเพื่อนบ้านที่ห่างกันเพียง 200 เมตร โดยผู้ก่อเหตุให้การว่ายิงด้วยความคึกคะนอง เพื่อเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่

13 เม.ย.56 ธีระศักดิ์ สันติวงค์งาม อายุ 36 ปี หนุ่มลำปาง นอนอ่านหนังสือบนโซฟา จู่ๆก็ได้ยินเสียงวัตถุตกห่างศีรษะประมาณ 1 ฟุต ตรวจดูพบว่าเป็นหัวกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตร.สันนิษฐานอาจมีคนยิงปืนขึ้นฟ้า ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ หรือยิงต้อนรับปี๋ใหม่เมือง เมื่อใกล้รุ่ง  

22 มี.ค.57 น.ส.หทัยรัตน์ จันทร์โท อายุ 32 ปี ชาวอ.วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง ถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ปากทะลุใต้คาง อาการสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา พยานเผยว่าช่วงที่เกิดเหตุ บ้านฝั่งตรงข้ามกำลังจัดพิธีขวัญนาค ระหว่างนั้นเกิดยิงปืนขึ้นหลายนัด กระสุนหนึ่งในนั้นพลาดไปถูกเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ขณะกำลังนั่งอุ้มหลาน

นอกจากนี้ยังมีคดีอื่นๆที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกเทศกาลวันรื่นเริงอีกมากมายหลายร้อยคดีในรอบสิบปีที่ผ่านมา ! 

ความเข้าใจที่ผิด "กระสุน"ไม่มีวันหายไปในอากาศ

ความเข้าใจผิดของคนชอบยิงปืนขึ้นฟ้าคือ กระสุนยิงขึ้นฟ้าก็จะหายสูญไปเอง หารู้ไม่ว่าหลักแรงโน้มถ่วงของโลกต้องดึงทุกอย่างให้ลงต่ำเสมอ  ยกตัวอย่างถ้าเราโยนลูกบอลขึ้นฟ้ามันคงไม่หายไป แต่จะตกพื้นทุกครั้งที่โยนมัน การยิงปืนขึ้นฟ้าก็เช่นเดียวกัน กระสุนต้องลงล่างเสมอ แต่จะไปโดนสิ่งใดหรือคนใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หลักฟิสิกส์กำหนดทิศทางการยิงไว้ว่า ถ้ายิงตรงขึ้นฟ้าทำมุม 90 องศา กระสุนจะตกลง ณ จุดเดิมที่ยิงหรือใกล้เคียงกัน ดังนั้น ถ้าคนยิงกระสุนในมุม 90 องศาแล้วยืน ณ จุดเดิม กระสุนจะตกลงเจาะทะลุศีรษะและร่างกายอย่างแน่นอน หากไม่ต้องการรับกระสุนนัดนั้นก็ต้องยิงทำมุม 45 องศา แต่นอกจากมันจะเพิ่มความแรงให้กระสุนแล้วยังเพิ่มระยะยิงให้ไกลขึ้นด้วย

ทั้งนี้ความก้าวหน้าทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถพิสูจน์หาต้นทางการยิงด้วยหลักคำนวณได้ เริ่มจากหาสถานที่แรกเริ่มของกระสุนย่อมทำได้ด้วยการรู้ชนิดและประสิทธิภาพของกระสุน ชนิดของปืน บาดแผลของผู้เสียหาย สภาพแวดล้อม นำข้อมูลเหล่านี้ไปคำนวณด้วยหลักฟิสิกส์จะมองเห็นพื้นที่ของการยิง เมื่อลากเส้นในแผนที่จะมองเห็นขอบเขตที่แคบลงในการหาเจ้าของปืน ตำรวจสามารถจับคนยิงกระสุนปริศนาได้ทันที

วิธีการเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการพิสูจน์หากระสุนปริศนาที่ยิงจากที่อื่นไปโดนคนตายในจุดห่างไกลออกไปสำหรับคดีของต่างประเทศมาแล้ว แต่ไทยไม่ได้นำหลักวิชานี้มาใช้เลย ทำให้คนยิงปืนขึ้นฟ้าลอยนวลไปและสร้างความเข้าใจผิดว่า ยิงปืนขึ้นฟ้าไม่สร้างความเสียหายแก่ใครมาถึงทุกวันนี้

"ยิงปืนขึ้นฟ้า"ความเชื่อที่แลกด้วยเลือด

ยิงปืนขึ้นฟ้าก็ฆ่าได้

ตั้งแต่ช่วงปีใหม่เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งดูดาย โดยเฉพาะ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบนโยบายให้ทุกฝ่ายตรวจตรา ให้ความรู้ และป้องปราม ถึงอันตรายจากการยิงปืนขึ้นฟ้า   เนื่องจากสังคมไทย  ยังมีความเชื่อตามประเพณี  เกี่ยวกับการยิงปืนขึ้นฟ้าในโอกาสต่างๆอยู่ เช่น เป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ สงกรานต์ และวันที่เกิดจันทรุปราคา หรือสุริยุปราคา   

พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา (สบ 10)  เผยว่า ยิงปืนขึ้นฟ้าก็ฆ่าได้ การยิงปืนขึ้นฟ้า ผู้ยิงมักไม่รู้ถึงผลลัพธ์ที่ตามมาว่าร้ายแรงแค่ไหน  

"ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเจ้าหน้าที่ได้ โดยสังเกตเพื่อนบ้านที่ชอบกินเหล้าเมายา และยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปป้องปรามก่อนจะเกิดเหตุ หรือหากพบหัวกระสุนตกอยู่ ขอให้นำมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อให้ เจ้าหน้าที่ได้หาตัวคนยิงปืนมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป"

แนวทางการป้องกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมีการส่งตำรวจสายตรวจที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ ออกหาข่าวว่ามีพื้นที่ใดบ้างที่มีการจัดงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หากพบจะขอให้เข้าไปขอความร่วมมือ และขอตรวจค้นทุกคนว่ามีการพกพาอาวุธหรือไม่ หากพบจะยึดอาวุธปืนและนำตัวบุคคลนั้นมาดำเนินคดี หากเกิดเหตุมีประชาชนผู้เสียหายโทรศัพท์มาแจ้ง เจ้าหน้าที่จะต้องลงพื้นที่โดยเร็ว เพื่อไปตรวจสอบหาวิถีกระสุนว่ายิงมาจากทิศทางใด หลังทราบทิศทางให้ติดตามจับกุม ผู้ก่อเหตุมาให้ได้โดยเร็ว

สำหรับบทลงโทษของผู้ที่ยิงปืนขึ้นฟ้านั้น หากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะมีความผิดทั้งทางวินัยและอาญา ส่วนกรณีหากยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วตกลงมาโดน ผู้อื่นจะมีความผิดต่อชีวิตและร่างกาย ฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 พันบาท กระทำการโดยประมาทฯ ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 พันบาท และหากประมาทจนทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท

อารมณ์คึกคะนองเพียงชั่ววูบ อาจนำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

การยิงปืนกับประวัติศาสตร์และประเพณีไทย 

ในสมัยรัชกาลที่ 4 จะมีการยิงปืนในเวลาพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าตรู่ เพื่อเป็นสัญญาณให้เปิดประตูวัง นอกจากนี้ยังใช้เป็นสัญญาณแจ้งเหตุไฟไหม้ในเขตพระราชฐานด้วย โดยต้องยิงหลายนัดติดต่อกันจนกว่าไฟจะมอดดับ หากไหม้ในเขตพระนคร ให้ยิง 3 นัด นอกพระนครให้ยิงเพียงนัดเดียว

ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มมีการยิงปืนเพื่อใช้สำหรับบอกเวลาเที่ยงวัน ทว่าเสียงจากปืนใหญ่ที่ประจำป้อมที่ทั้งมุมของพระบรมมหาราชวังจะได้ยินเฉพาะในเขตพระนครเท่านั้น คนที่ตั้งบ้านเรือนไกลออกไปมักไม่ได้ยิน จึงเกิดกลายเป็นสำนวนว่า "ไกลปืนเที่ยง" หมายถึงคนที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บ้านนอกคอกนา

นอกจากนี้ยังมีการยิง"สลุต"เพื่อแสดงความเคารพ หรือถวายคำนับ ในงานพระราชพิธีสำคัญต่างๆ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก งานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระราชพิธีฉัตรมงคล จนถึงพิธีต้อนรับประมุขจากต่างแดน

การยิงปืนขึ้นฟ้าในทางประเพณีที่น่าสนใจก็คือ การยิงปืนอัฏตนา หรืออาฏานา ชาวบ้านเรียกว่าพิธียิงปืนไล่ผี เป็นการยิงปืนในระหว่างที่พระสงฆ์กำลังสวดอาฏานาฏิยสูตร เนื่องในพระราชพิธีตรุษสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันสิ้นปี ตรงกับแรม 14 ค่ำ เดือน 4 ถึงขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ตามจันทรคติ พูดง่ายๆคือยิงปืนขู่ผี ขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้หวาดผวาและตกใจกลัวนั่นเอง