posttoday

ถ้าผมเป็นประธานสภาทูลเกล้าฯไปนานแล้ว

18 พฤษภาคม 2557

เมื่อมีความจำเป็นที่สุด เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติแล้วจำเป็นต้องกราบบังคมทูล ขอพระราชอำนาจ

โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน,เจษฎา จี้สละ

พลิกประวัติศาสตร์การเมืองไทย 82 ปีประชาธิปไตย บทหนึ่งจารึกชื่อ อาทิตย์ อุไรรัตน์ ในฐานะผู้คลี่คลายวิกฤตการณ์

ช่วงปี 2535 หล่มโสโครกตระหง่านขวางกั้นเส้นทางประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อารมณ์ผู้คนเพรียกหานายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง

ฉายา “วีรบุรุษประชาธิปไตย” จึงก่อกำเนิดขึ้น ด้วยความกล้าโดยมิครั่นคร้ามอำนาจปืน สำนึกเพียงแสวงหาทางออกโดยปราศจากกลิ่นคาวเลือดและคราบน้ำตาของชาวไทย

ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร และรักษาการประธานรัฐสภา เขาเด็ดเดี่ยวพอที่จะเสนอชื่อของ อานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ท่ามกลางแรงบีบรัดจากเม็ดเงินมหาศาลและการกดดันจากอิทธิพลเถื่อน

แผ้วถางทางยังผลให้คนรุ่นหลังดำเนินต่อ... ในวันที่ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย แต่งชุดขาวรอเก้อ เป็นวันเดียวกับที่แสงสีขาวสว่างจ้าที่ปลายอุโมงค์

22 ปี เลยล่วงผ่านข้ามกาลแปรผัน ประชาธิปไตย 2557 ซวนเซเสียหลักไม่ผิดแผกแตกต่างจากครั้งเก่า

จะหนักกว่าตรงที่ความเกลียดชังร้าวลึกชนิดไม่เคยปรากฏ รังสีอำมหิตแผ่ปกคลุมไทยผู้รักสงบพร้อมห้ำหั่นกันในทุกวิถี

“โพสต์ทูเดย์” นัดสนทนากับ “อาทิตย์ อุไรรัตน์” ที่ชั้น 8 ตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต หวังย้อนสถานการณ์ในอดีต เพื่อฉายภาพวิธีคิด-ตัดสินใจ นำไปสู่หนทางถอดสลักวิกฤตการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่โดยไม่เห็นจุดสิ้นสุด

“ผมคิดว่าเงื่อนไขทางการเมืองในขณะนี้เหมือนกับสมัยปี 2535 นะ แต่อาจลึกซึ้งและมีขอบเขตกว้างกว่า ซึ่งหากเรามองกันอย่างไม่เอาชนะหรือเอาแพ้กัน ผมว่ามันชัดเจนแล้วนะ” อาทิตย์ เริ่มต้นด้วยการวิพากษ์สถานการณ์

“ถามว่าตอนนี้มีรัฐบาลอยู่ไหม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ตัดสินแล้ว ไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร แต่ผมว่ารัฐบาลไปหมดแล้ว การรักษาการก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีบทบัญญัติใดให้ทำได้ นั่นเพราะนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องรักษาการไปจนกว่ามีรัฐบาลใหม่”

“ขั้นตอนก็คือเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วต้องเปิดสภาให้ได้ภายใน 30 วัน แต่นี่ก็เปิดสภาไม่ได้ และยังเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ภายใน 30 วันด้วย ฉะนั้นทุกอย่างต้องจบลงตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ที่สำคัญคือไม่มีบทบัญญัติข้อใดระบุว่าหลังจากนี้ต้องทำอย่างไร ให้รักษาการต่อไปได้อีกหรือไม่ และใครจะมาเป็นผู้รักษาการ”

“หากเรายึดตามรัฐธรรมนูญคือนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็รักษาการไม่ได้เมื่อไม่ได้ก็เท่ากับไม่มีรัฐบาลแล้ว ยิ่งคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช.ก็ยิ่งชัดว่าไม่มีรัฐบาล แต่ถ้ายังดันทุรังเป็นศรีธนญชัยอยู่อย่างนี้มันคงไม่มีทางออก”

อาจารย์อาทิตย์ตีความต่อไปว่า หากพิจารณาบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญจะพบว่ามีการเปิดช่องเอาไว้ คือ เมื่อไม่มีฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติเหลือเพียงวุฒิสภาเท่านั้น วุฒิสภาก็อยู่ในฐานะรักษาการรัฐสภา ซึ่งประธานก็ทำหน้าที่ในฐานะประธานรัฐสภา ถือเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ที่จะพิจารณาเสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้

“มันยังมีทางออกในมาตรา 3 และมาตรา 7 โดยมาตรา 3 อำนาจเป็นของปวงชน มาตรา 7 คือ หากไม่มีบทบัญญัติในเรื่องใด ให้ใช้ตามประเพณีปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่คือประเด็นหลักๆ ฉะนั้นคนที่ดำเนินการได้ทันทีคือ คุณสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รักษาการประธานรัฐสภา”

หมายความว่าเดินหน้าตั้งนายกรัฐมนตรีได้ทันที? อดีตรักษาการประธานรัฐสภารายนี้ยืนยันชัดว่า สามารถทำได้ทันทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปรึกษาวุฒิสภาด้วย เพราะวุฒิสภาไม่ได้มีหน้าที่ในเรื่องนี้ แต่หากจะปรึกษาเพื่อขอความคิดเห็นสามารถกระทำได้ เพียงแต่ไม่ใช่ไปปรึกษาเพราะอำนาจทางกฎหมาย หรือด้วยการตีความว่าเมื่อไม่มีสภาผู้แทนราษฎรแล้วจึงต้องปรึกษาวุฒิสภา

“หลักการที่ถูกต้องคือประเทศจะเป็นสุญญากาศแม้แต่วินาทีเดียวไม่ได้ อย่างที่สหรัฐอเมริกาเมื่อประธานาธิบดี เคเนดีถูกยิงตายที่ดัลลัส เทกซัส รองประธานาธิบดีจอห์นสันก็ต้องปฏิญาณตนบนเครื่องบินทันที มันไม่มีการลากไปเรื่อยๆ ได้ ดังนั้น เมื่อยอมรับกันว่าประเทศเราเป็นสุญญากาศแล้วก็ต้องมีการตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาทันที”

อาจารย์อาทิตย์อธิบายว่า คนที่ทำได้ตอนนี้คือองค์รัฏฐาธิปัตย์ อันดับแรกคือ สุรชัย ในฐานะรักษาการประธานรัฐสภา แต่ถ้าจะทำให้สวยขึ้น คือในฐานะที่เขาได้รับเลือกเป็นว่าที่ประธานวุฒิสภาแล้ว แต่ยังมีข้อถกเถียงกันว่ายังไม่ได้เป็นตัวจริงเพราะไม่ได้มีการโปรดเกล้าฯ ถามว่าแล้วใครจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ก็ตัวของสุรชัยนั่นแหละที่รับสนองได้

“เขาเป็นรักษาการประธานรัฐสภาก็มีการเลือกตั้ง จะแต่งตั้งประธานวุฒิสภาใหม่ก็ต้องทูลเกล้าฯ เสนอ เขาเป็นผู้เสนอได้แล้ว และก็รับสนองเองได้ แต่บังเอิญมันเป็นคนเดียวกัน เป็นคุณสุรชัยเหมือนกัน ก็ไม่เห็นเป็นไร คุณสุรชัยในฐานะรองประธานวุฒิสภา รักษาการประธานรัฐสภา รับสนองพระราชโองการแต่งตั้งประธานวุฒิสภาคนใหม่ ชื่อคุณสุรชัยก็ได้ ไม่เห็นต้องมาเถียงกันเลยว่าต้องให้คุณนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็นผู้ทูลเกล้าฯ หรือไม่”

การตั้งนายกรัฐมนตรีจากองค์รัฏฐาธิปัตย์คือทางออกเดียว? อาทิตย์ ตอบสวนคำ “เป็นทางออกเดียวแต่ไม่ใช่เดี่ยว” ก่อนจะขยายความว่า องค์รัฏฐาธิปัตย์แรกที่เหลืออยู่คือสุรชัยสามารถทำได้เลย เสนอได้เลยว่าจะเสนอใครเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนเรื่องจะถูกใจใครหรือรับฟังความคิดเห็นใครมันเป็นเรื่องศิลปะ แต่ไม่ใช่ไปโหวตกันมาหรือออกประชามติว่าจะเลือกใคร แบบนั้นมันก็วุ่นวายไปหมด สรุปคือเขาทำได้ทันที หรืออยากจะให้เป็นประธานวุฒิสภาตัวจริงก่อนก็ให้รีบเสนอตัวเอง วันเดียวก็จบ มันทำได้ แต่ทำไมไม่ทำ

“หรือแม้แต่ตัวของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ซึ่งในอดีตยังไม่เคยเกิดขึ้น ถามว่าเขามีสิทธิอะไรที่จะเสนอนายกรัฐมนตรี เขามีอำนาจหรือ ก็เขาเป็นเลขาธิการ กปปส.ไง แล้ว กปปส.คือใคร ก็คือมวลมหาประชาชน แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็พิสูจน์ทราบมาแล้วจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยดูจากจำนวนผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ ถามว่ายอมรับได้ไหม คือมันไม่จำเป็นต้องเป็นกฎหมายเป๊ะๆ แต่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์แล้วว่านี่คือมวลมหาประชาชนจริงๆ”

“ฉะนั้นคนที่เป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์อีกคนหนึ่งก็คือ กปปส. คุณสุเทพก็สามารถทำได้ทันที แต่ถามว่าเขาจะกล้าทำหรือไม่ ไม่รู้ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ไหนคุณบอกว่าปฏิวัติประชาชนนี่คือวิธีการปฏิวัติประชาชนไง แล้วคุณจะไปเรียกร้องให้ทหารออกมาทำไม”

เป็นไปได้จริงตามหลักปฏิบัติที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือ? อาทิตย์ บอกว่า ข้อเสนอเหล่านี้เป็นไปได้ทั้งเชิงนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ และข้อกังวลว่าเมื่อกราบบังคมทูลไปแล้วจะระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ต้องเข้าใจว่าประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระประมุขท่านวินิจฉัยได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะลงมาก้าวล่วง

“นี่ไม่ใช่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่ยิงปืนใหญ่แล้วจะระคายเคืองพระสนม ไม่ใช่ เมื่อมีความจำเป็นที่สุด เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติแล้วจำเป็นต้องกราบบังคมทูล ขอพระราชอำนาจตามมาตรานี้ จะกลัวอะไร”

สิ่งที่สุรชัยต้องทำหลังจากนี้? ... “หลังจากฟังความเห็นมาแล้ว เขาต้องการนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากพรรคการเมือง ท่านก็เสนอเลย อย่างที่ผมเคยเสนอคุณอานันท์ ปันยารชุน ถามว่าผมต้องไปดูไหมว่าฝ่ายนั้นจะโกรธไหม ฝ่ายนั้นจะไม่ชอบใจไหม เมื่อคุณทำแล้วประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าอย่างไร ถ้าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุน แล้วพวกที่ไม่เห็นด้วยว่าอย่างไร จะโกรธผมเกลียดผม แต่เขาต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่เขาต้องการเห็น ต้องการสนับสนุนมันเป็นผลประโยชน์ของเขา แต่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศ”

“ถ้าวันนี้ผมอยู่ในตำแหน่งในฐานะของคุณสุรชัย ผมเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไปแล้ว”คือความชัดเจนของผู้ถูกขนานนามให้เป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย

ถ้าผมเป็นประธานสภาทูลเกล้าฯไปนานแล้ว

ทำถูกแล้วจะกลัวคนต่อต้านทำไม?

หากสถานการณ์ทางการเมืองวิวัฒน์ไปในแนวทางตามที่ “อาทิตย์” เสนอ คือว่าที่ประธานวุฒิสภา สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เดินหน้าทูลเกล้าฯ รายชื่อบุคคลที่เหมาะสมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แน่นอนว่า แรงต้านจากมวลชนคนเสื้อแดงจะเกิดขึ้น

วีรบุรุษประชาธิปไตยรายนี้ ยอมรับว่า แน่นอนต้องมีการต่อต้านจากมวลชนคนเสื้อแดง แต่ถามว่าหากทำถูกต้องแล้วจะกลัวการต่อต้านและแรงเสียดทานทำไม

“เขาต่อต้านแน่นอน แต่ว่าฝ่ายที่ต่อต้านเขามีความชอบธรรมไหม ชอบธรรมทั้งในแง่กฎหมาย ชอบธรรมทั้งในแง่การโกงกินคอรัปชั่น ศาลตัดสินแล้วว่าคุณผิดแล้วยังจะไปเกรงใจอะไร ไปปรึกษาอะไร ไปฟังอะไรจากเขา แม้ว่าเขาจะมีมวลชนสนับสนุน แต่ที่นี่ก็มี และที่นี่ไม่ใช่แค่มวลชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองเท่านั้น แต่เป็นมวลชนทั้งประเทศ”

ถ้าตั้งนายกฯ ได้แต่เกิดความรุนแรงขึ้น ? อดีตนักการเมืองผู้คร่ำหวอด บอกว่า เมื่อได้รัฐบาลแล้วเขาก็ต้องรับผิดชอบ เพราะรัฐบาลใหม่มีอำนาจในการสั่งการ อย่างเช่นเหตุการณ์ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เกิดการล้มการประชุมที่พัทยา จ.ชลบุรี นี่คือความผิดปกติของบ้านเมือง ถามว่าตำรวจก็มีกองทัพก็มีแต่กลับป้องกันไม่ได้ นี่คือความบกพร่อง จะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีกได้อย่างไร

หากรุนแรงประตูรัฐประหารก็แง้มออก ? ... “หากปฏิวัติอีกมันจะเลวร้าย มีโอกาสเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ต่างประเทศก็จะเข้าใจเราผิดมากขึ้นไปอีก ผมไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติและคิดว่าทหารเขาจะไม่ทำนะ คือทำแล้วโง่เลย”

“ถ้าทหารจะช่วยก็ควรออกมาแบบนี้ คือออกมาบอกว่าขอปฏิเสธอำนาจรัฐบาล บอกว่ารัฐบาลได้จบลงไปแล้วโดยกระบวนการของศาล ปัจจุบันไม่รัฐบาลแล้ว จะสนับสนุนแนวทางของ กปปส. หรือวุฒิสภาก็ได้”

ท่าทีของทหารในปัจจุบันไม่ขัดขวางแต่ก็ไม่สนับสนุนฝ่ายใด ? ... “ก็ดีแล้ว ก็เป็นสไตล์ของทหาร ซึ่งแตกต่างกับในอดีตอย่างในยุคของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นั้นจะเปรี้ยงๆ เลย ซึ่งไม่ถูกต้อง มันไม่ลึกซึ้ง”

“ผมมีเกร็ดจะเล่านิดหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2535 วันที่เขาจะยิงกัน ทหารก็จะจับมหาจำลอง (ศรีเมือง) เขาก็ต้องมาขอประธานสภาว่าจะจับ สส. ผมสังเกตว่าเขาพูดกันตรงๆ นะ ขอยืมกระสุนก่อน คือไม่ลึกซึ้ง และเขาก็ไม่รู้เลยว่าสื่อมวลชนต่างชาติรายงานเหตุการณ์ว่าอย่างไรบ้าง สนใจแต่คนที่ส่งไปอ่านแถลงการณ์ว่าพูดดีไหม พูดเพราะไหม คือการข่าวเขาก็ยังไม่ลึกซึ้ง แต่เดี๋ยวนี้ทหารลึกซึ้งจนไม่กล้าจะทำอะไร ก็ดี” 

รัฐบาลใหม่-รัฐสภาใหม่ ควรปราศจากนักการเมือง ? อาจารย์อาทิตย์ แสดงความคิดเห็นว่า ต้องเอาคนที่ไม่มีผลประโยชน์ยึดติดเหมือนแบบเดิม อาจจะมีนักการเมืองได้หากคนเหล่านั้นผ่านการพิสูจน์ว่าเป็นคนดี ซึ่งอาจจะเป็นส่วนน้อยแต่ก็ต้องยอม ไม่เช่นนั้นประเทศไทยก็ไม่มีโอกาสที่จะเจริญ

“รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องปรับแก้ทั้งการเมือง การเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ ต้องเอาไอเดียจากทุกฝ่ายมาร่วมกัน ช่วยกันคิดว่าการเลือกตั้งมีองค์ประกอบอย่างไร 1.มาจากเขตเลือกตั้ง 2.มาจากสายอาชีพ 3.มาจากผู้แทนของปวงชนทั้งประเทศ มานั่งคิดกันว่าสัดส่วนจะเป็นอย่างไร คือเดิมเขาคิดอยู่แล้วแต่ไม่รอดเพราะนักการเมืองคุมอยู่ เขตอิทธิพลของใครก็แบบนั้น จังหวัดไหนใครคุมก็หน้าเดิม”

ดังนั้น ต้องทำใหม่ให้เป็นของประชาชนจริงๆ คือช่วยกันคิดเพื่อบ้านเพื่อเมือง

ถ้าผมเป็นประธานสภาทูลเกล้าฯไปนานแล้ว

ภารกิจ...หาคนมายุบสภา

ย้อนกลับไปช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมืองปี 2535 ในห้วงยามของพฤษภาทมิฬ “อาทิตย์ อุไรรัตน์” คือคีย์เวิร์ดคำสำคัญในการแผ้วถางทางออก

“สถานการณ์ตอนนี้เมื่อเทียบกันก็คล้ายกับสถานการณ์ตอนนั้น วัตถุประสงค์อาจแตกต่างกัน แต่บทบาทอะไรมันก็คล้ายๆ กัน คือต้องแก้ปัญหาเพราะตอนนั้นไม่มีนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องตั้งนายกฯ คนใหม่ ผู้ที่รับผิดชอบตรงนี้เป็นหน้าที่ของผมโดยตรง”

“ผมเป็นของตำแหน่งเดียว ไม่ใช่ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่คณะบุคคล ตอนนั้นผมเป็นประธานผู้แทนราษฎรรักษาการประธานรัฐสภา มีหน้าที่โดยตรงในการแต่งตั้งนายกฯ แต่บริบทตอนนั้นเป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. รวมถึงพรรคการเมืองที่อยู่ในเครือข่ายของ รสช.ที่ต้องการจะตั้งนายกฯ คนหนึ่ง กับอีกฝากคือประชาชนผู้ที่ออกมาต่อต้านคัดค้าน”

“ผมก็มองเห็นว่าตัวผมจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ เพราะหากทำงานแบบรูทีนคือเขาว่ามาอย่างนั้นเราก็ทำไปอย่างนั้นประเทศชาติจะต้องนองเลือดอีก เพราะมันนองเลือดมาแล้วรอบหนึ่ง ดังนั้น ถ้าผมตั้งตามเสียงข้างมากในรัฐสภาก็ต้องเสนอ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ ขึ้นไป ซึ่งธรรมดาถ้าเป็นคนอื่นเขาก็ต้องทำอย่างนั้น”

“แต่ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง คือ ถ้าทำไปแบบนั้นจะเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบ ยิ่งไปกว่านั้นมีข้อเสนอมาอีกว่า ถ้าผมทำตามที่เขาต้องการผมจะได้อะไรตอบแทนบ้าง เช่น มีการเสนอตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ให้ หรือแม้แต่กระแสข่าวที่ว่าเบื้องหลังมีการลือกันว่าผมต้องการเรียกร้องอะไร ซึ่งผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย มารู้ทีหลังคือเขาพูดกันไปว่าผมเรียกร้องเงิน 200 ล้านบาท แต่ไม่ได้ เลยไม่เสนอชื่อของ พล.อ.อ.สมบูรณ์ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย”

อาทิตย์ เล่าต่อว่า จุดประสงค์ในตอนนั้นมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องการแก้ไขวิกฤตของชาติ แต่ขณะนั้นปัญหาของชาติไม่ได้มากเหมือนปัจจุบัน ภารกิจที่ต้องทำคือการคืนอำนาจให้แก่ประชาชนเท่านั้น ให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ถ้าทำได้ปัญหาก็จะจบ ประเด็นในตอนนั้นคือไม่มีตัวบุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ เพื่อให้อำนาจยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน สิ่งที่ต้องทำก็คือหาตัวนายกฯ ที่จะมาทำอย่างนั้นเท่านั้น

“ถ้าเราตั้งนายกฯ ที่มาจากการเมือง เขาก็จะไม่ยุบสภา เขาเข้ามาแล้วก็จะอยู่ในตำแหน่งอีกนาน ที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นการนองเลือดคือ แม้ว่ายังไม่เกิดขึ้นแต่ยอมรับไหมว่า อย่างไรแล้วก็ต้องเกิด ก็ต้องป้องกัน ผมก็บอกว่าต้องหานายกฯ ที่เข้ามาแล้วจะยุบสภาให้อย่างแน่นอน ถามว่าจะมีใครที่เข้ามาในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 3 เดือน”

“ตัวเลือกก็คือ คุณอานันท์ เพราะเขามีคณะรัฐมนตรีพร้อมอยู่แล้ว ท่านก็ตกลงว่าเข้ามา 3 เดือน จะยุบสภาให้”

ในทางลับได้หารือใครหรือไม่?  “ก็มีนะ มีการพูดกัน คือตอนนั้นผมหาทางออกไม่เจอจริงๆ เล่าได้เลยว่า ผมติดต่อไปยังอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรีในขณะนั้น ผมถามว่าจะขอเข้าเฝ้านอกรอบได้หรือไม่ ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ อาจารย์สัญญาท่านก็ติดต่อไปยังสำนักราชเลขา ม.ล.ทวีสันต์ ลดาวัลย์ อดีตราชเลขาธิการ ก็หายไปสัก 1 ชั่วโมง ก็กลับออกมาบอกว่าทำไม่ได้”

“เมื่อเป็นไปไม่ได้ ผมเลยไปปรึกษา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ว่าควรทำอย่างไร ท่านก็แนะนำว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สิ เคยร่วมงานกันมาท่านเป็นคนดี แต่ผมก็พิจารณาว่า พล.อ.ชวลิต ตอนนั้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองอยู่ เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองอันดับที่สองของฝ่ายค้าน อันดับที่หนึ่งคือ คุณชวน หลีกภัย คือมันไม่มีเหตุผลที่จะเสนอ พล.อ.ชวลิต”

“ถ้าจะตั้งบุคคลจากฝ่ายค้าน ผมก็ต้องพิจารณาคุณชวนก่อน เพราะท่านมีเสียงมากกว่าพรรคความหวังใหม่ ผมก็ชวนคุณชวนมาคุยนะ ว่า ถ้าให้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยท่านจะกล้ารับไหม ตอนนั้นเสียงในสภาอยู่ที่ 165 กับ 195 สุดท้ายคุณชวนก็ไม่กล้ารับ เพราะยกมือวันเดียวเสียงข้างมากในสภาก็คว่ำได้ มันทำอะไรไม่ได้เลย”

“เมื่อคุณชวนไม่รับมันก็ยิ่งไม่มีทางออก ผมก็พิจารณาแล้วพิจารณาอีก จนถึงสิ้นเดือน พ.ค. ผมเลยต้องออกมาแถลงข่าวว่า ผมขอเวลาอีก 10 วัน ขอให้รัฐธรรมนูญที่แก้อยู่ครบกำหนดผ่านวาระ 3 ก่อน แล้วในวันที่ 10 มิ.ย. เมื่อเสร็จกระบวนการแล้ว เย็นวันนั้นผมจะเข้าเฝ้าเพื่อกราบบังคมทูลว่าใครจะเป็นนายกฯ ผมก็ทำตามนั้นคือสุดท้ายผมเสนอคุณอานันท์”

พูดคุยกับคุณอานันท์อย่างไรท่านจึงยอมรับตำแหน่ง?... “ก็ด้วยเหตุผลอย่างที่ผมพูดคือใครจะมายุบสภาให้ผม ถ้าไปเอาคนใหม่เอี่ยมมา กว่าเขาจะฟอร์มคณะรัฐมนตรีได้แล้วยุบสภาในเวลา 3 เดือน ก็คงไม่มีใครอยากมาทำ แล้วผมก็พูดกับใครไม่ได้ เพราะเขาก็จ้องผมอยู่ทุกคน ตั้งแต่หัวหน้าพรรคของผมตอนนั้นคือ คุณณรงค์ วงศ์วรรณ หรือฝ่ายรัฐสภาเขาก็ถามว่าไอ้อาทิตย์นี่มันจะเอายังไงของมันวะ มันจะเล่นอะไรของมัน ผมก็รู้ว่าผมพูดกับใครไม่ได้ แม้กระทั่งเลขาส่วนตัวของผมก็บอกไม่ได้ ผมไม่ได้พูดกับใครเลยจนถึงวันที่ผมจะเข้าเฝ้า”

มีตัวเลือกอื่นนอกจากคุณอานันท์? ... “ไม่มี ก็หลังจากที่คิดทุกอย่างมาแล้ว มีคุณอานันท์อยู่คนเดียวที่จะช่วยดำเนินการในกรณีนี้ได้ ผมก็ไปพูดกับคุณอานันท์ว่าช่วยเข้ามารับหน้าที่นี้หน่อยได้ไหม ท่านก็บอกว่าไม่ไหวให้หาคนอื่นเถอะ ผมก็บอกท่านไปว่าผมไม่ได้ขอให้ท่านมารับตำแหน่งนายกฯ แต่ให้ท่านมาช่วยยุบสภาแค่นั้น”

คุยกันอยู่นาน? ... “ไม่นานสัก 2 ครั้ง ในรอบ 15 วันเห็นจะได้ จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ผมจะเข้าเฝ้า ผมก็โทรไปบอกว่าผมจะเข้าเฝ้าแล้วนะ”

อะไรที่ทำให้มั่นใจว่าคุณอานันท์จะยุบสภาให้จริง? ... “ผมตั้งเขาแล้วผมก็ตั้งคณะรัฐมนตรีต่อ ถ้าผมตั้งนักการเมืองผมก็ต้องตั้ง พล.อ.อ.สมบูรณ์ ซึ่งเขาต้องการเป็นรัฐบาล แล้วเขาจะยุบสภาให้ผมได้ไหม เขาจะทำเหรอ มันมีเหตุผลเหรอ”

ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับภารกิจศักดิ์สิทธิ์เพื่อชาติบ้านเมือง สูงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด...

“พรรคพวกทั้งหมดถือผมเป็นศัตรู มารู้ทีหลังอีกว่าผมตกเป็นเป้าหมาย ถึงขั้นจ้างมือปืนมาเก็บ ไม่ขอเอ่ยถึงชื่อเขานะ แต่ผมก็รอดมาได้”