posttoday

วิกรม กรมดิษฐ์ ‘ผมเป็นคนไม่แทงกั๊ก’

05 เมษายน 2557

อนาคตในชีวิตผมนั้นได้กำหนดไว้แล้ว โปรดอย่าได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผมอีกเลย ผมจะพยายามทำแต่ในสิ่งที่ดีงาม มีประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้น

โดย...เจียรนัย อุตะมะ

วิกรม กรมดิษฐ์ วัย 61 ปี เศรษฐีผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน เจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดในไทย เป็น 1 ใน 10 รายชื่อที่ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คาดว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”

หลังจากนั้นเพียงวันเดียว “วิกรม” ได้โพสต์ข้อความบนหน้าเพจเฟซบุ๊กทันทีว่า ขอบคุณจากใจจริง

“ผมไม่เหมาะกับการเมืองครับ”

พร้อมทั้งขยายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยทำมาไม่ว่าเป็นธุรกิจหรืองานมูลนิธิอมตะ ไม่เคยมีเป้าหมายทางการเมืองทั้งสิ้น ฉะนั้นขออย่าได้นำการเมืองมาเกี่ยวข้องกับผมเลย

วิกรม กรมดิษฐ์ ‘ผมเป็นคนไม่แทงกั๊ก’

อนาคตในชีวิตผมนั้นได้กำหนดไว้แล้ว โปรดอย่าได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผมอีกเลย ผมจะพยายามทำแต่ในสิ่งที่ดีงาม มีประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้น โดยจะไม่รับรางวัลใดๆ ในโลกนี้ เพราะผมกำลังทำในสิ่งที่ผมมีความสุขและภูมิใจที่ผมได้ทำสิ่งนี้ครับ

วิกรม กล่าวว่า เป็นคนไม่แทงกั๊ก ไม่อยากเปรียบเสมือนปลาที่มาตายน้ำตื้นตอนแก่ เป็นคนที่มองโลกเป็นสีขาวและสีดำ ดีก็บอกว่าดี ชั่วก็บอกว่าชั่ว ไม่ได้เป็นคนสีเทา จึงไม่เหมาะที่จะเล่นการเมือง

เขาไม่ถนัดที่จะเป็นผู้นำประเทศ เพราะเชื่อว่าคนที่จะดูแลประเทศได้ดีต้องมีความสามารถ ทำงานได้ ไม่ใช่แค่อยากโก้ อยากเป็น

“ผมบริหารนิคมฯ มาบนพื้นที่ 100 ตารางกิโลเมตร ประชากร 3 แสนคน ทั้งนิคมฯ ในไทยและเวียดนาม นับว่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับประเทศไทยที่ประชากร 65 ล้านคน พื้นที่กว่า 5 แสนตารางกิโลเมตร”

วิกรม กรมดิษฐ์ ‘ผมเป็นคนไม่แทงกั๊ก’

 

เขาเชื่อว่า ในเมื่อเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วเข้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศเป็นเรื่องทับซ้อนในผลประโยชน์ ทำให้กังวลว่าจะถูกกล่าวหา

ทุกวันนี้ได้ทำประโยชน์ให้ประเทศเต็มที่ นิคมฯ อมตะเสียภาษีทุกปี ไม่มีกองขยะ ดูแลสิ่งแวดล้อม และนอกเหนือจากงานยังเขียนหนังสือขายในราคาถูก จัดรายการเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม

สำหรับนายกรัฐมนตรีคนกลางในความคิดของเขา ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

ประการแรก โปร่งใส ขาวสะอาด ไม่มีประวัติมัวหมอง

ประการที่สอง มีความสามารถในการบริหาร มีฝีมือเรื่องการจัดการด้านสังคมและพัฒนาเศรษฐกิจ

ประการที่สาม ต้องมีบุคลิกในการเป็นผู้นำ

ประการที่สี่ จิตใจกว้างขวาง ยุติธรรม

ประการที่ห้า มีสุขภาพดี

เขาเชื่อว่าในประเทศไทยมีคนที่เข้าคุณสมบัตินี้หลายคน

วิกรม เชื่อว่า ทางออกของประเทศมี แต่ถูกมองข้าม ควรหาคนที่เป็นเจ้าเรื่องที่มีอำนาจตัดสินใจมาคุยกันเพื่อหาจุดเชื่อมให้เกิดการยอมรับทางสังคม และหาทางลงให้ทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นระบบให้เหมาะสมยอมรับได้

เขาเคยโพสต์บนเฟซบุ๊ก ว่า ปัญหาความยากจนของประเทศที่เกิดจากปัญหาคอร์รัปชั่นนั้นควรต้องมีระบบตรวจสอบที่โปร่งใสและความยุติธรรมที่ได้มาตรฐานโลกสากล พร้อมกับการลงโทษอย่างเด็ดขาดด้วยการประหารชีวิตคนโกงกิน ประเทศไทยจึงจะเดินไปสู่ความเจริญ อย่างเกาหลี สิงคโปร์ และจีน ผมไม่เชื่อว่าคนไทยจะสูญพันธุ์ถ้ามีการประหารกันสัก 1 หมื่นคน

“เราคิดแบบคนไทย ประเทศไทยเราเป็นแบบคนไทยที่กำลังจะล้าหลังพม่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทำไมไม่เอาแบบอย่างจากจีนและสิงคโปร์ในเรื่องความเด็ดขาดในการปกครองประเทศ”

ปัจจุบันนี้แฟนเพจของเขามียอดกดไลค์กว่า 7.4 แสนครั้ง และมีคนพูดถึง 1.3 แสนคน

มีรายการมองโลกแบบวิกรม ทุกวันจันทร์วันศุกร์ วันละ 5 นาที ช่วงเช้า 05.30 น. ทางช่อง 3

“ผมทำผู้หญิงท้อง 10 กว่าคน และพาไปทำแท้งทั้งหมด ถ้าเกิดมาแล้วเป็นปัญหาจะให้เด็กเกิดมาทำไม ก็พาไปทำแท้ง ทำให้ทุกวันนี้ผมไม่มีภาระเรื่องลูก ลูกของผมคนแรกถ้าผมไม่ให้เธอทำแท้ง วันนี้เขามีอายุ 30 ปีแล้ว” เป็นทัศนคติของเขาในเรื่องชีวิตคู่

วิกรม กรมดิษฐ์ ‘ผมเป็นคนไม่แทงกั๊ก’

 

วิกรม มีความคิดเช่นนี้ เป็นเพราะบิดาของเขามีภรรยาหลายคน ทำให้มีน้องต่างมารดามาก และน้องๆ ของเขานั้นเปลี่ยนนามสกุลมาเป็น กรมดิษฐ์ ตามเขาและอยู่ภายใต้การปกครองของเขาทุกคน

เขาเคยมีภรรยาและหย่าร้างกันแล้ว ปัจจุบันใช้ชีวิตโสด รับบทพี่เลี้ยงให้น้องสาวและน้องชายในการดำเนินกิจการนิคมอุตสาหกรรม ตัวเองมีหน้าที่ให้แนวความคิดในการแสวงหาโอกาสธุรกิจ

เขาเพิ่งกลับจากเดินทางโดยรถคาราวานเป็นเวลา 7 เดือน จากเมืองไทยขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ผ่านชายแดนลาว จีน ไปถึงไซบีเรีย จากนั้นเลาะลงมาคาซัคสถาน พักที่นั่นประมาณ 2 สัปดาห์ จากนั้นเดินทางมายังจีนตามเส้นทางสายไหม ผ่านหลายเมืองและเข้าพม่า และกลับเมืองไทย

“ผมชอบเดินทาง อยากไปไหนก็ไป เราเป็นผู้กำหนดชะตาของเราเอง ตามความเหมาะสมทั้งฐานะและความปลอดภัย ผมเดินทางมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว เป็นระยะทางนับแสนกิโลเมตร”

ประสบการณ์จากการเดินทางครั้งล่าสุดได้ถูกแปรเป็นหนังสือชีวิตใหม่ 2 ขนาด 200300 หน้า เล่มละ 25 บาท วางขายตามร้านเซเว่น อีเลฟเว่น

เขาเคยบินด้วยเครื่องบินรบขึ้นไปสูงสุดขอบฟ้าที่มอสโก เป็นเครื่องบินรัสเซีย มิก 25 เป็นการไล่ตามความฝันที่อยากเป็นนักบิน ด้วยค่าใช้จ่ายในการบินกว่า 1 ล้านบาท

เขาบอกว่าที่จริงอยากไปท่องอวกาศ แต่ราคาแพงเกินไป 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 640 ล้านบาท ทำให้คิดได้ว่าควรเอาเงินไปทำอย่างอื่น

โครงการ “อมตะ คาสเซิล” หรือปราสาทอมตะ โครงการมูลค่าก่อสร้างหลักพันล้านบาทที่ “วิกรม” ควักเงินส่วนตัวอีกก้อนหนึ่งทุ่มทุนสร้าง ก่อสร้างเสร็จแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างตกแต่งภายใน คาดว่าจะใช้เวลาอีก 1 ปีกว่าจะแล้วเสร็จที่จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้

“อมตะ คาสเซิล เป็นบ้านของผม จะมีขนาดใหญ่กว่าโรงแรม ที่ต่อไปจะยกให้ชาวบ้านไปใช้”

วิกรม ตั้งใจไว้ว่าชั้นบนของ อมตะ คาสเซิล จะเป็นที่อยู่ของพี่น้องตระกูลกรมดิษฐ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่มูลนิธิอมตะ ส่วนชั้นล่างจะเป็นพื้นที่พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ที่รวบรวมงานศิลปะของศิลปินที่มูลนิธิคัดเลือกมาจัดสรรเป็นห้องที่ศิลปินและครอบครัวจะได้กรรมสิทธิ์โดยไม่เสียเงินสักบาท และหากมีรายได้จากภาพในห้องนั้น มูลนิธิจะปันผลประโยชน์ให้ตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้

“ตอนนี้ประเทศไทยมีปัญหาเกี่ยวกับยุคทางศิลปะ เพราะพอมีเราก็ขาย พอศิลปินตายเราก็ไม่เห็นผลงาน”

แนวคิดของเขาคือ เมื่อมี “อมตะ อาร์ต อวอร์ด” ก็ควรมี “อมตะ คาสเซิล” เกื้อหนุนกัน

“อมตะ อาร์ต อวอร์ด” เปรียบเสมือนหน่วยงานที่ค้นหาศิลปินให้ “อมตะ คาสเซิล” สุดหรู ที่จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและช็อปปิ้งงานศิลป์ชั้นดีของทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งจะทำให้เกิดธุรกิจที่จะตามมาอีกหลายรูปแบบในอนาคต

“วิกรม” กล่าวว่า ที่ทำไปทั้งหมดเพื่อเตรียมการให้ทั้งมูลนิธิและบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน อยู่ได้ด้วยตัวเอง เผื่อวันหน้าไม่มีเขา

“ทุกอย่างสร้างจากเงินส่วนตัวของผม พอไปถึงจุดหนึ่งต้องสานต่อด้วยระบบเองเหมือนบริษัทผม ต่อไปมูลนิธิต้องเปลี่ยนไปเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ผมเชื่อว่าความเป็นองค์กรเป็นอมตะกว่าคน”

นับเป็นชายวัยใกล้เกษียณที่สุขสมบูรณ์คนหนึ่งที่มีครอบครัวใหญ่รวมครอบครัวของน้อง หลาน และเหลนแล้ว นับได้เกือบ 50 คน มีนิคมอุตสาหกรรมอมตะที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนทั่วโลก และมีชีวิตส่วนตัวตามความใฝ่ฝันของตนเอง

เขาเชื่อว่าคนเกิดจากศูนย์และจะจากไปด้วยศูนย์ แล้วจะแสวงหาสิ่งใดจากคนอื่น เมื่อคิดว่าตนเองพรั่งพร้อมแล้วทุกสิ่ง ด้วยความสุขในแบบของตนเอง