posttoday

เหตุไฉนใครๆก็ไม่รัก"ทัวร์จีน"

14 มีนาคม 2557

นโยบายที่มุ่งสร้างความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว โดยละเลยในเรื่องของพฤติกรรม คนจีนก็ยังคงหยาบกระด้าง แถมยังเป็นความหยาบกระด้างของคนที่มีเงินแบบสามล้อถูกหวย

โดย...โพสต์ทูเดย์ออนไลน์

นาทีนี้ ถ้าไปเที่ยวที่ไหนแล้วเจอ "นักท่องเที่ยวจีน" กลุ่มใหญ่ส่งเสียงโล้งเล้งเดินตามมัคคุเทศน์เป็นหมู่คณะ เชื่อว่าหลายคนคงต้องขอยอมแพ้ แล้วเต้นท่ามูนวอล์กของไมเคิล แจ็กสัน ร้องเพลงว่า"ถอยดีกว่าาา ไม่อาวดีกว่า"แน่ๆ

เพราะพฤติกรรมสะท้านโลกของนักท่องเที่ยวจีนผู้ที่มักถูกกล่าวหาว่า "ไร้มารยาท" ได้แผ่ขยายมายังเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย ดังที่ตกเป็นข่าวเกรียวกราวตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ถึงขนาดที่ใครบางคนบอกว่านี่มันวาระแห่งชาติชัดๆ !!

เมื่อ"มวลมหานักท่องเที่ยวจีน"ทะลักไทย

ปัจจุบันมียอดนักท่องเที่ยวจีนเดินมาเข้ามาในประเทศไทยทะลุถึง 4 ล้านคนต่อปี สร้างเม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนล้านบาท

จากการสำรวจของ daodao.com เว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดังของจีน พบว่า 5 อันดับแรกสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนจีน ได้แก่ ฮ่องกง ภูเก็ต ไต้หวัน กรุงเทพมหานคร และปารีส โดยเชียงใหม่ติดมาอยู่อันดับที่ 12 ด้วยเช่นกัน

ว่ากันว่าเมืองไทยเหมาะสมที่สุดแล้วในการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต ไม่ว่าเรื่องระยะทาง อาหารอร่อยถูกปาก ข้าวของราคาถูก ธรรมชาติสวย ผู้คนใจดี พูดได้ว่าคุ้มค่าที่สุดในอาเซียน 

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวรุ่นใหม่อายุระหว่าง 21-40 ปี และกว่า 95 % นิยมจัดการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ไปไหนตามใจอยาก หาที่พักเอง หาที่กินเอง หากิจกรรมทำเอง โดยค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต แตกต่างจากนักท่องเที่ยวรุ่นเก่าที่เน้นจองโปรแกรมทัวร์เที่ยวเป็นหมู่คณะ

"นักท่องเที่ยวจีนไม่นิยมเที่ยวแนวผจญภัย ไม่เหมือนฝรั่งที่ชอบเที่ยวสัมผัสธรรมชาติ เดินป่า ขึ้นเขา แทบร้อยทั้งร้อยจะให้พากิน ช็อปปิ้ง เที่ยวตามวัดวาอาราม ชมการแสดงวัฒนธรรมไทย ไม่ก็นั่งรถชมเมืองมากกว่า เช่น เยาวราช วัดพระแก้ว เชียงใหม่ ดอยสุเทพ พัทยา ทะเลภูเก็ต"วันชัย ทองดีงาม มัคคุเทศน์ทัวร์จีนที่คร่ำหวอดในวงการมากกว่า 20 ปี เล่าให้ฟัง

เหตุไฉนใครๆก็ไม่รัก"ทัวร์จีน"

"Lost in thailand"จากหนังดังสู่ปรากฏการณ์ฉันรักเมืองไทย

อิทธิพลจากภาพยนตร์เรื่อง Lost in Thailand (ชื่อไทยว่าแก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์)ที่กวาดรายได้มากกว่า 1 พันล้านหยวน จนกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติการณ์ของจีน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

Lost in Thailand เป็นหนังตลกแนวโร้ด มูฟวี เป็นเรื่องราวของนักท่องเที่ยวจีนที่แบกเป้แบ็คแพกเกอร์เดินทางมายังไทย แล้วเกิดพลัดหลง จนกลายเป็นความอลเวงสุดป่วน โดยถ่ายทำที่จ.เชียงใหม่เป็นหลัก ส่งผลให้จากเดิมที่คนจีนที่มาเมืองไทยครั้งแรกจะต้องไปพัทยา ตามมาด้วยภูเก็ต บ่ายหน้ามุ่งสู่เมืองเชียงใหม่ทันที

กระแสตามรอยหนังดังก็เริ่มต้นขึ้น เมื่ออาตี๋อีหมวยเป็นจำนวนมากพากันเช่ามอเตอร์ไซค์ นั่งสองแถว ชมเมืองเชียงใหม่จนทะลุตั้งแต่ประตูท่าแพ ดอยสุเทพ ไนท์บาซ่า วัดพระสิงห์ ถนนคนเดิน จนถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาพสวยๆถูกแชร์กันทางโลกไซเบอร์กระตุ้นให้คนอื่นๆเก็บเงินเดินทางมาสมทบกันอย่างล้นหลาม ตั๋วเครื่องบินขายหมดเกลี้ยง เกสเฮาส์ยันโรงแรมห้าถูกจองเต็ม ร้านอาหาร ร้านกาแฟแน่นเอี๊ยด

เมื่อมากคนก็มากความ ตามมาด้วยความวุ่นวายโกลาหลในที่สุด

"เรารักนักท่องเที่ยวจีน"เพจนี้เพื่อเธอ

เร็วๆนี้ สื่อหลายฉบับพร้อมใจนำเสนอข่าวเรื่องวุ่นๆของนักท่องเที่ยวจีนที่ไปสร้างวีรกรรมน่าปวดหัวให้กับคนเชียงใหม่

ไล่ตั้งแต่ปัญหาคลาสสิกอย่างขับถ่ายแล้วไม่ราดน้ำ แกะห่อสินค้ามาชิมหน้าตาเฉย ใช้ที่ฉีดน้ำในส้วมอาบน้ำ ขับรถแย่ชนิดตำรวจจราจรกุมขมับ สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะแต่พอเช็คบิลทำหน้ามึนบอกไม่ได้สั่ง ถึงขั้นบุกเข้าไปถ่ายรูปเล่นถึงห้องเล็คเชอร์ขณะกำลังมีการเรียนการสอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอื่นๆอีกมากมายเจียระไนไม่หมด

ถึงขนาดที่ผู้ประกอบการหลายรายต้องออกมาตรการรับมือ ทั้งติดป้ายภาษาจีนว่า "อาบน้ำคิดค่าบริการ 50 บาท" "ขออภัยปิดปรับปรุง" บางรายถึงขั้นประกาศกร้าวว่าต่อไปนี้ขอไม่ต้อนรับคนจีนอีกเด็ดขาด

"เคยเจอหนนึงพอเลย ตอนนั้นมีแขกชาวจีนมาพักเป็นครอบครัว 8 คน เราก็มีอาหารเช้าบริการเป็นบุฟเฟต์ให้ตักเอง พี่แกเล่นตักใส่ถุง ใส่ซูเปอร์แวร์ตุนกันจนเกลี้ยงถาด แขกอื่นๆพลอยอดทานไปด้วย" น้ำผึ้ง เจ้าของเกสท์เฮาส์กลางเมืองเชียงใหม่ บอกอย่างหมดความอดทน

ทั้งหมดจึงเกิดการตั้งเพจ "เรารักนักท่องเที่ยวจีน" ขึ้น เพื่อเผยแพร่พฤติกรรมสุดทนของนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะ โดยได้รับความนิยมเกินคาด ยอดคนกดไลค์ทะลุ 1 หมื่นคนแล้ว

"มันเป็นแค่ความรำคาญในการใช้ชีวิตของเราชาวเชียงใหม่ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจีน เพจนี้ไม่ได้ทำเอามัน ไม่ใช่เพื่อโจมตี หรือยุให้เกลียดคนจีน แต่นำเสนอเรื่องจริง ภาพจริง เหตุการณ์จริงที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนหลายกลุ่ม หวังให้ปลุกกระแสให้ทุกฝ่ายหันมาให้ความสำคัญ และช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มันดีขึ้น

พฤติกรรมหลายอย่างควรบอกกล่าวกันให้ทราบอย่างชัดเจน บางเรื่องก็ต้องว่ากล่าวตักเตือน อาจเป็นเพราะว่านักท่องเที่ยวชาวจีนไม่ทราบมารยาทของคนไทย แม้กระทั่งกฎหมายจราจร ไม่มีใครสื่อสารให้เขาเข้าใจ อีกอย่างด้วยนิสัยคนไทยที่ประนีประนอม ไม่ค่อยกล้าดุด่า จึงใช้วิธีปล่อยให้เขาทำผิด แล้วค่อยมาเตือนทีหลัง ผมคิดว่าพฤติกรรมพวกนี้คงจะดีขึ้นในวันข้างหน้า แต่ต้องใช้เวลา ต้องให้โอกาสให้พวกเขาได้ปรับตัว แต่ทางจีนและทางการไทยต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วยครับ"เป็นคำบอกเล่าของแอดมินเพจ"เรารักนักท่องเที่ยวจีน"

เหตุไฉนใครๆก็ไม่รัก"ทัวร์จีน"

ทำไมนักท่องเที่ยวจีนถึง"ไร้มารยาท"

วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผอ.ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมแย่ๆของนักท่องเที่ยวจีนไว้อย่างน่าสนใจว่า

เพราะเหตุใดถึงไม่มีบันทึกลงในประวัติศาสตร์ว่าคนจีนที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยสมัยก่อนทำตัวแย่ ไร้มารยาท เหมือนคนจีนที่เราพบเห็นกันสมัยนี้ มีแต่บอกว่าคนจีนขยันอดทน ประหยัดมัธยัสถ์ กินง่ายอยู่ง่าย ทั้งที่คนจีนยุคนั้นยากจนและไร้การศึกษากว่าคนจีนยุคนี้ที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะคนจีนยุคเก่าถูกกำหนดแนวคิดโดยลัทธิขงจื้อ เราจึงเห็นได้ว่าคนจีนรุ่นเก่าตามเยาวราชจะมีกิริยามารยาท มีน้ำจิตน้ำใจ

แต่พอปีพ.ศ.2492 หลังเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม ประเทศจีนเริ่มเป็นคอมมิวนิสต์ พวกซ้ายจัดที่มีกิริยามารยาทหยาบกระด้าง พูดเสียงดังโขมงโฉงเฉง กินมูมมาม ถ่มน้ำลายลงพื้น ยื้อแย่งแข่งขันกันโดยไม่เข้าคิว การกระทำเหล่านี้ถูกเชิดชูว่าเป็นชนชั้นกรรมมาชีพ ใครมีกิริยามารยาทแบบขงจื่อกลายเป็นสิ่งผิด คนรุ่นพ่อรุ่นแม่อาจปรับตัวได้ แต่คนรุ่นลูกที่เกิดมาจะถูกสั่งสอนต่อๆกันมาด้วยวิถีของชนชั้นกรรมมาชีพจนคุ้นเคยมาจนถึงทุกวันนี้  

ยิ่งกว่านั้น 30 ปีที่ผ่านมา จีนปฏิรูปเรื่องเศรษฐกิจ มีการเปิดประเทศเป็นเสรีนิยม แม้เศรษฐกิจโตขึ้น คนรวยขึ้น การศึกษาสูงขึ้นแต่สิ่งที่ถูกปลูกฝังมาแล้วอย่างกิริยามารยาทของคนชั้นกรรมมาชีพก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย

"นโยบายที่มุ่งสร้างความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว โดยละเลยในเรื่องของพฤติกรรม คนจีนก็ยังคงหยาบกระด้าง แถมยังเป็นความหยาบกระด้างของคนที่มีเงินแบบสามล้อถูกหวย จึงวางตัวไม่ถูก ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน"ผอ.ศูนย์จีนศึกษาระบุ

วรศักดิ์บอกอีกว่า รัฐบาลจีนก็ไม่ได้นิ่งดูดายต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เห็นได้จากการที่ออก "คู่มือการท่องเที่ยวต่างประเทศแบบมีอารยะธรรม" ความยาว 64 หน้าแก่ชาวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศ ภายในคู่มือมีรายละเอียดเกี่ยวกับการประพฤติตัวให้เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วแคะฟัน ไม่แคะจมูกในที่สาธารณะ ไม่ปัสสาวะลงสระว่ายน้ำ ตัดขนจมูกให้เรียบร้อย อย่าใช้ห้องน้ำสาธารณะนานเกินไป ไม่ขโมยเสื้อชูชีพบนเครื่องบิน เป็นต้น

"รัฐบาลเขากังวลมากครับ ต้องบอกอย่างหนึ่งว่าคนจีนมีวัฒนธรรมโบราณที่ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือการรักหน้าตัวเอง พูดง่ายๆคือเสียหน้าไม่ได้ การที่คนจีนไปทำเรื่องน่ารังเกียจไว้ที่ประเทศใดก็ตาม มันจะเป็นที่กระอักกระอ่วนใจของผู้นำจีนมาก กรณีที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ผมถือว่ามันยังดีที่เป็นเรื่องทั่วไป ไม่เหมือนกรณีที่เกิดขึ้นกับอียิปต์ มีคนจีนเขียนชื่อตัวเองบนกำแพงของพีระมิด เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขามาแล้ว นี่ไม่ใช่แค่เสียชื่อ แต่มันเสียหายถึงโบราณวัตถุด้วย เรื่องนี้ไม่มีใครรับได้ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนไม่ค่อยได้รับการต้อนรับที่ดีจากประเทศอื่นๆ"

อย่างไรก็ตาม วรศักดิ์ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวว่า

"ตราบใดที่เรายังเห็นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลัก และคนจีนก็เป็นปัจจัยสำคัญ ก็ไม่ควรทิ้งมันไป วิธีการรับมือกับนักท่องเที่ยวจีนเฉพาะหน้า ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆที่เป็นของเอกชน อาจจะต้องเขียนป้ายประกาศภาษาจีนสำหรับข้อห้าม กฎเกณฑ์การปฏิบัติตัวต่างๆ ขณะเดียวกันภาครัฐเข้ามาช่วยทำหนังสือ หรือแผ่นพับที่อธิบายถึงวัฒนธรรมของคนไทยให้ชาวจีนได้อ่าน เพื่อจะได้รู้ว่าอะไรที่ควรทำไม่ควรทำแปะไว้ตามจุดต่างๆ และสำคัญที่สุดน่าจะมีการร่วมมือกันระหว่างตัวแทนด้านวัฒนธรรมของทั้งสองชาติในการพูดคุยแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง"

**ขอบคุณภาพบางส่วนจากเฟซบุ๊กเรารักนักท่องเที่ยวจีน**

เหตุไฉนใครๆก็ไม่รัก"ทัวร์จีน"

 

เหตุไฉนใครๆก็ไม่รัก"ทัวร์จีน"

 

เหตุไฉนใครๆก็ไม่รัก"ทัวร์จีน"