posttoday

ต้องเปิดหน้าเจรจาหมดเวลาทหารปฏิวัติ

24 กุมภาพันธ์ 2557

คำตอบไม่ได้อยู่ที่มวลมหาประชาชน คำตอบคือ ใครที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก และคนเหล่านี้มีกึ๋นพอที่จะออกมาหรือไม่

โดย...สุภชาติ เล็บนาค/ ณัฐจักร วงษ์ยิ้ม

การเมืองไทยยังอยู่ในจุดที่ตึงเครียด ในวันที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นำม็อบโค่นระบอบทักษิณ ซึ่งสอง พี่น้องตระกูลชินวัตร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังยึดกุมอำนาจรัฐโดยที่ไม่มีทีท่าจะปล่อยง่ายๆ และไร้การเจรจาที่สัมฤทธิผล จนวิกฤตครั้งนี้ลากยาวข้ามปี ผ่าน 3 เดือนแห่งการเผชิญหน้า รวมถึงเกิดความรุนแรงจนขณะนี้คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 16 คน บาดเจ็บอีกกว่า 700 คน

โพสต์ทูเดย์จับเข่าคุยกับ “สุลักษณ์ ศิวรักษ์” นักคิดนักเขียน และปัญญาชนสยาม วัย 81 ปี และได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ที่พูดตรง พูดแรง และตรงไปตรงมามากที่สุดในสังคมไทย ถึงวิกฤตการเมืองไทยขณะนี้ และทางออกในมุมมองที่สุลักษณ์ได้ใช้กล้องของผู้สังเกตการณ์ มองผ่านประวัติศาสตร์การเมืองไทยมานานเกือบศตวรรษ

นี่คือปากคำของ ส.ศิวรักษ์ ชายชราคนหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจเกลียดมากที่สุด ขณะเดียวกัน มวลมหาประชาชนก็อาจขุ่นเคืองเขาเช่นกัน

สุลักษณ์ มองว่า จนถึงวันนี้ยิ่งลักษณ์ไปไม่รอดแน่นอน เพราะความผิดจากคดีทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการรับจำนำข้าวนั้นมัดตัวยิ่งลักษณ์ไว้ แต่คำถามสำคัญก็คือว่า เมื่อยิ่งลักษณ์ไปไม่รอดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?

“ตามที่สุเทพประกาศ คือ ต้องการเอาทักษิณออก คนก็มาเห็นด้วยกับเขาเยอะ เพราะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั้นไม่ใช่นิรโทษกรรมธรรมดา แต่คือการเอาเงินคืนทั้งหมด หลายคนบอกว่าเศรษฐกิจทรุด แต่มันก็ฟื้นได้ ถ้าทักษิณกลับมาต่างหากที่ไม่ฟื้น คือ ต้องการเอาทักษิณออกเต็มที่”

“แต่สุดท้ายทั้งหมดต้องอยู่ที่การเจรจา ต้องหาทางออก จะมาเย้วๆ อย่างเดียวไม่ได้ ปัญหาสำคัญของสุเทพก็คือ การไม่ยอมเจรจากับใครเลย วันก่อนคุณอานันท์ ปันยารชุน ออกมาพูดว่าต้องเจรจา แต่ผมคิดว่าคุณอานันท์พลาดที่ออกมาพูด เพราะคนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าคุณอานันท์อยากเป็นนายกฯ แทนคุณยิ่งลักษณ์ จริงๆ คุณอานันท์ควรจะพูดวงใน ไม่ควรออกมาต่อหน้าสาธารณชนจนบางกอกโพสต์เอาไปพาดหัว”

“เพราะการเมืองมันต้องมีบทบาทหน้าฉากกับหลังฉาก ตอนนี้เรารู้ว่าหน้าฉากคือสุเทพและยิ่งลักษณ์ แต่สิ่งที่เราไม่รู้คือหลังฉากทำอะไรกันบ้าง เช่น เทพเทือกนี่ใครอยู่เบื้องหลังเขา เขาต้องมีเบื้องหลังแน่นอน เพราะถ้าไม่มีทหาร ตำรวจ จัดการไปแล้ว”สุลักษณ์ แสดงความคิดเห็น

สุลักษณ์ แสดงความคิดเห็นต่อว่า เมื่อไม่รู้ว่าเบื้องหลังของสุเทพคืออะไร จะยิ่งทำให้สังคมสั่นคลอน เพราะคนเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันเองตามที่เชื่อ เมื่อสังคมไทยยังขาดความโปร่งใสและชัดเจน ก็ทำให้วิกฤตการเมืองไทยยังเดินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่คนไม่สามารถรู้ได้ว่าหลังฉากเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ถามว่า โดยส่วนตัวเชียร์ให้สุเทพชนะหรือไม่ สุลักษณ์ ตอบว่า ไม่ได้เชียร์ให้ใครชนะ เพราะเห็นว่าทุกอย่างควรเป็นไปตามกฎแห่งกรรม และเชื่อว่ายิ่งลักษณ์จะแพ้เพราะวิบากผลที่เขาทำไว้ ส่วนมวลมหาประชาชนนั้น หากหลอกตัวเองว่าคือผู้ชนะนั้นอันตรายมาก มวลมหาประชาชนนั้นเป็นถือเป็นวาทกรรมอย่างหนึ่งที่สามารถรวมตัวกันได้ขนาดนี้ เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่คำตอบไม่ได้อยู่ที่มวลมหาประชาชน คำตอบคือ ใครที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก และคนเหล่านี้มีกึ๋นพอที่จะออกมาหรือไม่ ถ้าไม่ออกมาแก้ไขปัญหา ก็มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ความรุนแรงต่อไป

“คุณต้องไม่ลืมนะครับ ก่อนหน้านี้ทักษิณเขาเหี้ยมมาก สั่งฆ่าโดยไม่ใส่ใจ อย่างเรื่องยาเสพติด สั่งการทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมายไม่รู้เท่าไหร่ เหตุการณ์กรือเซะก็ด้วย ตอนมีอำนาจทักษิณก้าวไกลทุกกระทรวง มีทั้งราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ทุกอย่าง ระบบราชการ กับตำรวจก็ตาม ทักษิณไปทั้งหมด ขณะที่ระบบการศึกษาก็สอนแต่ให้คนไต่เต้าสู่อำนาจที่ใหญ่ขึ้น ไม่ได้สอนให้ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของทักษิณ อันนี้คือความชอบธรรมในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน”สุลักษณ์ ระบุ

ส่วนผลของการเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้งนั้น สุลักษณ์ บอกว่า จะออกมาอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าจะมีนายกฯ คนกลาง มีการเลือกตั้ง หรือมีสภาประชาชนตามความคิดเห็นของสุเทพ ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งนั้น หากสามารถทำให้ทุกคนกลับเข้าสู่จุดที่ตกลงกันได้ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเข้ามาแทนต้องไม่ลืมประเด็นสำคัญของประชาธิปไตย คือ 1.ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน 2.ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ วิพากษ์วิจารณ์ได้ และ 3.คนเริ่มท้าทายอำนาจที่เหนือกว่าตัวเอง และไม่รู้สึกด้อยกว่า

สุลักษณ์ ตั้งคำถามว่า แม้ทักษิณจะออกไปแล้ว แต่หากมวลมหาประชาชนไม่กล้าท้าทายอำนาจอย่างเสี่ยน้ำเมา ตรงไหนเป็นที่ว่าง เสี่ยเขาก็ปลูกคอนโดหมด ขณะที่เสี่ยอีกคนก็อาจจะผุดร้านสะดวกซื้อขึ้นทุกมุมเมือง ฆ่ารายย่อย ทำลายสังคมเกษตรกรรมหมด ขณะเดียวกัน หากทหารยังมีสถานะเป็นรัฐซ้อนรัฐ เวลามีปัญหาทหารก็ออกมาขู่ประชาชน และกระบวนการยุติธรรม ระบบศาล ยังอยู่ภายใต้รูปแบบสองมาตรฐาน คนรวยไม่จำเป็นต้องติดคุก ส่วนคนจนโดนกลั่นแกล้ง ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไร การปฏิรูปก็คงไม่มีประโยชน์

“วันนี้อย่าไปคิดว่าสุเทพเป็นพระเอก พอคนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น สุเทพเองก็คิดว่าตัวเองเป็นพระเอก สังคมทุกสังคม ถ้ามีพระเอกเพียงคนเดียวอันตรายมาก ถ้าเราเห็นว่าเขาเป็นสุนัขรับใช้คนหนึ่ง อันนี้สิถูก แล้วมวลมหาประชาชนต้องกล้าหาญพอที่จะตรวจสอบสุเทพ รวมถึงคนที่อยู่เบื้องหลังสุเทพด้วย มิเช่นนั้น สังคมการเมืองไทย ก็จะเป็นสังคมที่คนกลัวอำนาจ    ที่สูงกว่า ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ทักษิณยังครองอำนาจอยู่”ส.ศิวรักษ์ ระบุ

ต้องเปิดหน้าเจรจาหมดเวลาทหารปฏิวัติ

แยกประเทศก็แยกไป แต่ขอให้มีไมตรีต่อกัน!

ในวันที่สังคมไทยถูกแบ่งออกเป็นสีขาว-ดำ ชัดเจนนั้น ทำให้ตัวสุลักษณ์ถูกมองว่าเป็นเป็นผู้อาวุโสที่ “เลือกข้าง” ไปด้วย เพราะด้วยถ้อยคำของสุลักษณ์นั้น แม้จะตำหนิทักษิณอย่างรุนแรง แต่หลายครั้งเขาเองก็เห็นใจคนเสื้อแดง และวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายอำมาตย์อย่างเผ็ดร้อนเช่นเดียวกัน

เหลืองเรียกผมว่าแดง แดงเรียกผมว่าเหลือง เขาชอบ  เอายี่ห้อมาให้ผมกันทุกคน (หัวเราะ) ถ้าแดงคือพวกชาวบ้าน ไม่ยอมอยู่ใต้อำมาตย์ ผมหนุนพวกนี้เต็มที่ ผมอุดหนุนแดงในฐานะที่เป็นตัวเขาเอง ถ้าบอกว่าเป็นเหลืองผมก็ใช่ เพราะผมต้องการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของบ้านเมือง แต่สถาบันนี้ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ สถาบันต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ผมเห็นว่ามีดีกว่าไม่มี อะไรที่รักษาเอาไว้ได้ ผมก็อยากรักษาเอาไว้”สุลักษณ์ จำกัดความตัวเอง ก่อนจะบอกว่า การเมืองทุกวันนี้ ไม่ควรต้องแบ่งแยกความดี-ความชั่ว ชัดเจนขนาดนั้น

“แต่ถ้าบอกว่าเป็นขาวกับดำสู้กัน มันไม่ขาวไม่ดำหรอก เพราะในขาวก็มีดำ และในดำมันก็มีขาวอยู่ด้วย คุณต้องมองแบบศาสนาพุทธ อิทัปปัจจยตา มันต้องโยงใยถึงกัน คุณต้องอย่ามองอีกฝ่ายเป็นศัตรู แล้วต้องพยายามหาทางออก ไม่ใช่ทักษิณชั่ว คนที่เลือกทักษิณโง่ ต้องเอาออกไปอย่างเดียว”

เมื่อลองให้สุลักษณ์วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้ทักษิณยังครองใจชาวบ้านได้อยู่ แม้จะมีข้อกล้าวหาฉกรรจ์และแผลเหวอะหวะจากคดีคอร์รัปชั่นก็ตาม สุลักษณ์ ระบุว่า เหตุที่ทักษิณยังครองใจคนอีสานและคนชนบทได้นั้น ปกครองโดยเอาเงินเข้าถึงประชาชนโดยตรง ทำให้ขบวนการเสื้อแดงยังคงเป็นมวลชนที่มีพลังอยู่ในขณะนี้

“ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่กว่าจะเอาเงินให้ชาวบ้านต้องผ่านขุนนาง แล้วก็โกงกินกันตลอดทาง พอทักษิณรู้ถึงปัญหานี้ เลยเอาเงินให้ชาวบ้านโดยตรง แล้วก็โกงกินเอง ชี้ให้เห็นว่าทักษิณมีวิธีหลอกลวงชาวบ้านที่เก่งกว่า แต่ระบอบทักษิณตอนนี้กำลังฆ่าตัวเอง คือ โกงมากเกินไปและเอื้อประโยชน์ให้พวกตัวเองเท่านั้น”สุลักษณ์ ระบุ

“ทักษิณเองก็ใช้ประโยชน์จากคนเสื้อแดง ยั่วยุว่าให้เป็นพวกกันให้เอาชนะอำมาตย์ แต่ตัวทักษิณเองก็ไม่ได้จริงใจ โกงกิน โครงการรับจำนำข้าวนี่ชัดเจน ชาวบ้านพอใจมากกับนโยบาย แต่เอาเข้าจริงมีการโกงตั้งแต่เริ่มจำนำแล้ว ไหนจะเรื่องโครงการ บริหารจัดการน้ำอีก แต่ผมคิดว่าเสื้อแดงเขาเรียนรู้นะครับ เขาไม่ได้โง่ เขาเองก็รับข่าวสารเหมือนกับคนในกรุงเทพฯ ถ้าปล่อย   ให้เลือกตั้งต่อไป เขาก็ไม่ฟังทักษิณแล้ว แต่คุณต้องไม่ลืมนะ  ถ้าอำมาตย์ยังครองอำนาจอยู่ฝ่ายเดียว เขาก็ไม่เอาเหมือนกัน”

ส่วนคำถามที่ว่า ความขัดแย้งระหว่างคนเสื้อแดงและ   กปปส. จะแตกแยกจนกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามกลางเมืองหรือไม่นั้น สุลักษณ์ ตอบว่า ลึกๆ แล้วสงครามกลางเมืองคงไม่เกิดขึ้น เพราะคนไทยมีความน่ารัก การชุมนุมของมวลมหาประชาชนเองก็ดูสนุกสนาน มีของกินหลากหลาย ข้าวของต่างๆ เหมือนไปงานวัด ขณะที่คนเสื้อแดงเอง แม้จะเห็นต่าง แต่ก็คงไม่มีใครคิดร้ายถึงขนาดจับอาวุธมาฆ่ากันทั้งหมด หากเกิดความขัดแย้งจริง ก็คงไม่แย่ถึงขนาดแบ่งแยกประเทศ

ทว่า ในทางตรงกันข้าม ข้อเสนอสุดโต่งอย่างการ “แยกประเทศ” นั้น สุลักษณ์เองกลับคิดว่าอาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้ และไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!

“เอาเข้าจริง เราเคยคิดเรื่องแยกประเทศมาแล้วนะสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนเกิดปัญหากรณี ‘วังหน้า’ ตอนนั้นเราคิดจะแยกประเทศไทยออกเป็น 3 ส่วน แยกกันปกครอง แต่ไม่สำเร็จ เรื่องนี้คนไทยก็ไม่ค่อยรู้นะครับ”

“ผมจะบอกให้ว่า ประเทศมันของปลอมนะคุณ มันเรื่องสมมติทั้งนั้น แต่ก่อนมันมีตั้งหลายประเทศที่ขอแยก ดูอังกฤษเป็นตัวอย่าง สกอตแลนด์เขาก็ขอแยก เรื่องธรรมดา แยกก็แยก อยู่ก็อยู่ แต่จะอยู่หรือจะแยก ขอให้มีมิตรไมตรีต่อกัน เราต้องอย่าเอาเปรียบเขาเท่านั้นเอง พวกปัตตานี ถ้าเราอยู่อย่างเป็นมิตร ไม่เอาเปรียบเขา เราก็อยู่ด้วยกันได้ เขาก็ยินดีจะอยู่กับเรามากกว่าอยู่กับมาเลเซีย”

ปฏิรูปปัญหาเรื้อรัง100 ปี

ในทัศนะของปัญญาชนสยาม เขาบอกว่า “ระบอบทักษิณ” คือส่วนเสี้ยวเดียวของปัญหาขณะนี้ โดยหากจะมองไปถึงรากของปัญหาที่แท้จริง อาจต้องย้อนกลับไปถึง 100 กว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงคิดค้นระบบการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่กรุงเทพฯ โดยที่รัฐไทยยังคงใช้รูปแบบเดิมมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ความเจริญทุกอย่างถูกรวมศูนย์ไว้ที่กรุงเทพฯ และทำให้ทรัพยากรทุกอย่างไม่ถูกกระจายออกไป

"สิ่งสำคัญกว่านั้นคือคนกรุงเทพฯ กลับดูถูกจังหวัดอื่นว่าโง่เขลากว่าทั้งหมด จนเป็นต้นเหตุของความรู้สึก 'ไม่เท่าเทียม'มิหนำซ้ำ ยังตามมาด้วยการใช้การการศึกษาสมัยใหม่ล้างสมองให้คนทั้งหมดเห็นว่ากรุงเทพฯ ดีกว่าที่อื่น ด้วยการดูถูกชาวบ้าน ดูถูกลาว ดูถูกแขก"สุลักษณ์ระบุ

“ขณะเดียวกัน ศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาที่คนไทยนับถือมากที่สุด ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นระบบสมณศักดิ์ จากเดิมที่เคยอยู่ฝ่ายราษฎร กลับกลายไปอยู่กับวังแทน ทำให้พระสงฆ์แข่งขันกันขึ้นเป็นใหญ่ และสุดท้ายคือการให้กองทัพมีอำนาจเต็มที่ เป็นรัฐซ้อนรัฐ และมีหน้าที่สำคัญคือเอาไว้ปราบคนไทยจนทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้คือปัญหาเรื้อรัง และต้องปฏิรูปทั้งหมด หากไม่กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพวกนี้ สุดท้ายเราก็กลับมาอยู่วังวนเดิม”สุลักษณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่า ถ้าประชาชนยังคงแข็งแกร่งในระดับนี้มากขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งสถานะ “รัฐซ้อนรัฐ” ของทหารจะหมดไป และประชาชนจะมีอำนาจมากกว่าทหาร  ไม่ใช่ปล่อยให้ทหารข่มขู่ประชาชนได้ตามอำเภอใจอย่างที่ผ่านมา

“วันนี้อย่าคิดว่าทหารเขาไม่ฟังประชาชนครับ ทหารเขาก็ฟังประชาชนมาก ผมว่าดีแล้ว เราต้องออกเสียงให้มากๆ เพราะทหารลึกๆ มันแหย มันต้องการความอยู่รอด ที่ผ่านมาทหารปฏิวัติไม่ได้เพื่ออะไร เพื่อความอยู่รอดของตัวทั้งนั้น แต่วันนี้ไม่กล้าปฏิวัติแล้ว ถ้าการปฏิวัติมันดีจริง วันนี้ระบอบทักษิณไม่เหลือแล้วครับ แต่เพราะคุณสุรยุทธ์นั้นใช้ไม่ได้ ทักษิณเขาถึงได้กลับมา"

"วันนี้อาจจะมีอดีตแม่ทัพ อดีตผบ. มีพล.อ.สายหยุด (พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีต ผบ.สส.) ออกมานั่งคุยกัน แนะนำให้ทหารทำนู่นทำนี่อยู่บ้าง แต่เชื่อผมเถอะครับ คุณไม่มีอำนาจแล้ว คุณพูดอะไรก็พูดได้ คนยังอยู่มันไม่กล้าทำหรอกครับ เพราะถ้าทำก็สร้างปัญหาตามมาอีกไม่รู้จบ วันนี้ทหารกลัวประชาชนแล้วครับ”สุลักษณ์แสดงความคิดเห็น

ต้องเปิดหน้าเจรจาหมดเวลาทหารปฏิวัติ

ชื่นชมนิติธร-ไม่ไว้ใจสุเทพ

การชุมนุมของมวลมหาประชาชนที่ยืดเยื้อนานกว่า 3 เดือนนั้น สุลักษณ์ เองถือเป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมโดยตรง เพราะบริษัท “เคล็ดไทย” ของสุลักษณ์ และร้านหนังสือ “ศึกษิตสยาม” ที่ตั้งอยู่บนถนนเฟื่องนคร ตรงข้ามวัดราชบพิธนั้น ต้องถูกปิดไปโดยปริยายจากการชุมนุมของกลุ่มสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ที่ปิดล้อมกระทรวงมหาดไทยมานานกว่า 2 เดือนแล้ว อย่างไรก็ตาม สุลักษณ์ ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร เพราะคนที่ปิดหลายคนก็เป็นลูกศิษย์ที่คุ้นเคยกันมานาน

ขณะเดียวกัน บ้านของสุลักษณ์ที่ซอยสันติภาพ ถนนนเรศนั้น ก็ห่างจากเวทีการชุมนุมของ กปปส.ที่สีลมไม่ถึง 1 กิโลเมตร ทำให้เขาต้องผ่านเข้าพื้นที่ชุมนุมอยู่บ่อยครั้ง

“วันที่สุเทพออกเดินรับบริจาค ผมก็ออกไปดู โอ้โฮ คนบริจาคเงินให้เขาเยอะแยะ ผมว่าคนไทยก็เบื่อทำบุญกับพระแล้ว เพราะพระรวยมหาศาล จะทำบุญกับพระชั้นสมเด็จทีเรียกเงินเป็นแสน เราจึงได้เห็นการทำบุญกับสุเทพแทน เพราะเห็นผลชัดกว่า

“จนถึงขณะนี้ ผมนั่งรถผ่านเวทีชุมนุมที่สีลม เขาก็ต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะเขาคิดว่าผมจะขึ้นเวทีละมั้ง ผมเองสนับสนุนการชุมนุมของประชาชนทุกรูปแบบ เพราะถือเป็นความกล้าท้าทายอำนาจรัฐ ขณะเดียวกันผมก็คิดว่าการชุมนุมของ กปปส.ครั้งนี้ก็โอเค และเขาก็ยังคงยึดมั่นในหลักการสันติวิธีพอสมควร”สุลักษณ์ ระบุ

ใช่ว่า สุลักษณ์ จะไม่เคยขึ้นเวทีของมวลมหาประชาชน เพราะหากจำกันได้ ปีที่ผ่านมา สุลักษณ์ เคยก้าวขึ้นเวทีของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เพื่อปราศรัยกับมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาลอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่เวทียังตั้งอยู่ที่สี่แยก|อุรุพงษ์ ไปจนถึงวันที่เวทีถูกย้ายมาที่สามแยกนางเลิ้ง สุลักษณ์ เล่าให้ฟังว่า เหตุที่ขึ้นเวที คปท.นั้นมีเหตุผลเดียว คือ “นกเขา” นิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท. มาขอร้องให้ขึ้นเวทีให้กำลังใจผู้ชุมนุม

“เหตุที่ผลขึ้นเวที คปท.นั้นง่ายนิดเดียว เพราะนกเขาเขาเป็นทนายผมมาตลอด เขาไม่เคยคิดสตางค์ผมเลย แล้วเขารับใช้ผมมานาน ผมเห็นว่าเขาเป็นคนดี พอเขาขอให้ผมขึ้น ผมก็ขึ้น เขาไม่มีธงให้ผมพูด ผมก็ขึ้นไปเตือนสติผู้ชุมนุม พูดเรื่องหลักการสันติวิธี หลังๆ นี้เขามาขอ ผมก็บอกว่าไม่เหมาะที่ผมจะขึ้นพูดแล้ว เพราะถ้าผมขึ้นพูดวันนี้ หลายอย่างที่ผมพูดอาจจะไม่ตรงใจ มวลมหาประชาชนเขาอาจไม่อยากฟัง ผมก็ไม่อยากให้แตกแยกกัน ก็เลยนั่งเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ที่บ้านดีกว่า”

แม้ภาพภายนอก “ทนายนกเขา” จะมีบุคลิกเป็นแกนนำฮาร์ดคอร์ เนื่องจากสักยันต์เต็มตัว ใส่ชุดลายพราง และสวมเสื้อเกราะตลอดเวลา แต่เมื่อฟัง สุลักษณ์ พูดถึงทนายนกเขาแล้ว จะรู้จักในอีกมุมมองของทนายนกเขาที่หลายคนคาดไม่ถึง

“นกเขาเป็นคนที่ทำงานปิดทองหลังพระมาตลอด ถ้าคุณจำได้ พระประจักษ์ (หลวงพ่อประจักษ์ คุตตจิตโต) เนี่ย เขาต่อสู้เรื่องบุกรุกป่าสงวนที่เขาใหญ่ เรื่องต้นไม้อยู่นานหลายปี จนโดนจับสึก เพราะพระประจักษ์เป็นคนดื้อมาก แต่นกเขาก็มาเป็นทนายให้ฟรีตลอดจนหลุดศาลฎีกา นกเขาไม่เคยเอาเงินสักแดงหนึ่งเลยนะครับ ที่สลัมคลองเตย นกเขามันไปช่วยโดยไม่เป็นข่าวอะไรเลย นี่แสดงว่ามันมีกึ๋น และผมอยากให้คนไทยเป็นแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ คนอย่างนกเขานี่ต้องอุดหนุน เท่านี้เอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

จนถึงขณะนี้ สุลักษณ์ ยังเชื่ออย่างเต็มที่ว่าการต่อสู้ของทนายนกเขา ไม่ได้มีวาระแอบแฝงอะไรมากไปกว่าการปฏิรูปประเทศไทยไปสู่สังคมที่ดีขึ้น และเท่าเทียมมากขึ้น

“นกเขาไม่ได้วิเศษพิสดารอะไร แต่เขามีความกล้าหาญ ทำเพื่อคนอื่นมากกว่าทำเพื่อตัวเอง แล้วที่มันต้องลำบากคราวนี้ ก็เกิดขึ้นเพราะนักศึกษามันรวมตัวกัน ไอ้นกเขาก็ตกกระไดพลอยโจนไป เลยโดนหมายจับ ไม่ได้กลับบ้านจนถึงทุกวันนี้ ผมเลยบอกว่าคนอย่างนี้ต้องอุดหนุน ส่วนตัวสุเทพนั้น ผมยังไม่ไว้ใจเขาเท่าไร”สุลักษณ์ พูดพร้อมยิ้มมุมปาก

สุลักษณ์ ยังยกตัวอย่างคนที่เขาบอกว่ามีความกล้าหาญอีก 2 คน คือ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” อดีตพิธีกรรายการตอบโจทย์ประเทศไทย และ “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เดือน มี.ค.ปีที่แล้ว สุลักษณ์ เคยไปถกเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในรายการตอบโจทย์ประเทศไทย โดยมี ภิญโญ เป็นพิธีกร และมี สมศักดิ์ เป็นคู่สนทนา ออกอากาศติดต่อกัน 2 ตอน ทว่าเทปที่ 2 กลับถูกสถานีระงับการออกอากาศ เนื่องจากผู้ชมส่วนหนึ่งรวมถึงผู้บริหารสถานีบางคนไม่พอใจ

แม้สุดท้ายตอบโจทย์ประเทศไทยเทปดังกล่าวจะได้ฉายทางสถานีตามปกติ แต่จนถึงขณะนี้ ผ่านมา 1 ปี ผลสะเทือนของรายการเทปดังกล่าว ทำให้ ภิญโญ ต้องวางมือจากการจัดรายการทีวี กลับไปบริหารสำนักพิมพ์ “โอเพ่นบุ๊คส์” ตามเดิม ส่วน “สมศักดิ์เจียม” เพิ่งโดนคนร้ายยิงถล่มบ้าน จนต้องย้ายที่อยู่เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัว

“ผมเสียดายนะ ภิญโญ เนี่ยเขากล้านิดเดียว ก็โดนถีบออกไปเลย มันต้องกล้านะ ผมก็ไปบอกกับ สมชัย (สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการไทยพีบีเอส) ว่าต้องเอาภิญโญกลับมา เพราะสังคมเราต้องมีคนอย่างภิญโญไว้ แต่สมชัยเขาก็ไม่กล้า เขาบอกว่ามีคนเกลียด มีคนอิจฉาภิญโญเยอะ”

“ผมจะบอกคุณให้นะครับ นักข่าวมันต้องกล้าหาความจริง มันต้องกล้าท้าทายเรื่องที่คนไม่กล้าพูด เรื่องธรรมดาครับ คนมันเด่น ก็ต้องมีคนเกลียด คนอิจฉา แต่ถ้าไม่มีคนอย่างภิญโญนี่เมืองไทยก็เสร็จเลย ทุกคนน่ารักกันหมด เหมือนปศุสัตว์เลยครับ”

เช่นเดียวกับ “สมศักดิ์เจียม” ที่สุลักษณ์เองก็ชื่นชมในความกล้าวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกัน แม้ สุลักษณ์ จะถูก สมศักดิ์ เขียนโจมตีอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ยังชื่นชอบความเป็นตัวของตัวเองของสมศักดิ์

“สมศักดิ์เขาอาจจะบอกว่า อ.สุลักษณ์ ตอแหล ผมก็ตอบว่าช่างมัน ผมก็ยอมรับว่าผมตอแหล มันต้องใจกว้างครับ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสมศักดิ์นั้น ผมว่าฆ่าไก่ให้ลิงกลัวเท่านั้นเอง ตรงนี้ถ้าทำมากไปก็หมดฤทธิ์ ทำไม่ถูก”

“ผมว่าคนไทยต้องเปลี่ยนความน่ารักเป็นความน่าเกลียดบ้าง นี่ผมนับถือไอ้สมศักดิ์ก็ตรงนี้ สมศักดิ์นี่ไม่มีใครรักนะ เขาทำตัวเป็นคนน่าเกลียด มากเลย แต่ผมว่าต้องมีคนอย่างนี้ในสังคมประชาธิปไตย คุณเอาคนไปรังแก เอาระเบิดไปขว้าง ผมว่าบ้า”สุลักษณ์ ระบุ