posttoday

"ความดีต้องชนะความชั่ว"ศักดิ์ชัย กาย

16 กุมภาพันธ์ 2557

ถึงแม้คุณจะทำลายแกนนำอีกกี่คน ถึงมีคำพูดที่ว่า หนึ่งตายล้านตื่น คุณตัดหนึ่งท่ออีกร้อยท่อก็จะผุดขึ้นมาแน่นอน

เรื่อง....มีนา/ภาพ....เสกสรร โรจนเมธากุล

เมื่อ “ศักดิ์ชัย กาย” ประกาศชัดเจนผ่านสื่อว่า จะหยุดทำนิตยสารลิปส์ ซึ่งตนดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารอยู่ “จนกว่าจะได้ประเทศไทยคืนมา” แสงไฟทุกดวงก็จับจ้องไปที่เขา

นอกจากจะออกมาแสดงจุดยืนและร่วมกิจกรรมกับ “มวลมหาประชาชน” อย่างเปิดเผยแล้ว ศักดิ์ชัย ยังได้ผลิตเสื้อยืดกู้ชาติออกมาวางจำหน่ายหลากหลายคอลเลกชั่น และภายในระยะเวลา 2 เดือน เขาสามารถรวบรวมเงินได้มากกว่า 15 ล้านบาท เพื่อนำไปสนับสนุนครัวจัดหาอาหารและยารักษาโรคของผู้เข้าร่วมชุมนุม “ม็อบกำนัน”

ล่าสุดชายคนนี้ตกเป็นข่าวอีกครั้งเมื่อชื่อของเขารวมอยู่ในบัญชี “ท่อน้ำเลี้ยง” ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” หรือ กปปส. แต่ ศักดิ์ชัย ก็หาได้หวั่นเกรง ประกาศยังยืนหยัดเดินหน้าผลิตเสื้อยืดช่วยชาติและต่อสู้ต่อไป โดยเขาย้ำว่า การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ต่อกับความไม่ยุติธรรม และความไม่เสมอภาคกันในสังคม

ชีวิตวัยเด็ก

ย้อนกลับไปชีวิตในวัยเด็กที่หล่อหลอมให้ ศักดิ์ชัย มีใจที่รักชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทย ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวคนจีนเล็กๆ ที่พ่อแม่ย้ายมาจากเมืองจีน มาตั้งรกรากในเมืองไทย ต่อมาครอบครัวเล็กๆ มีทายาทถึง 9 คน เขาเป็นลูกคนที่ 6 ที่รักเรียน หัวดี และใฝ่รู้ เชื่อฟังพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งชีวิตวัยเด็กนี่เองที่หล่อหลอมให้เขารักความยุติธรรมแบบไม่รู้ตัว

“ชีวิตวัยเด็กของผมไม่ได้สบาย หรือร่ำรวย จำได้ตอนเด็กๆ ความที่เราเป็นเด็กใช้ง่าย พ่อซึ่งมีอาชีพเป็นเสมียน และแม่ที่เป็นช่างตัดเสื้อ มีงานอะไรก็มักจะเรียกใช้ เช่น เวลาแม่เข้าครัวไปทำกับข้าวก็จะเรียกผมไปเป็นลูกมือในครัว ครอบครัวเราไม่ได้อยู่สบาย แต่โชคดีที่ลูกๆ ทั้ง 9 คน หัวดีและเรียนเก่ง จำได้ว่าตอนเด็กหากลูกๆ อยากเรียนสูงๆ ต้องหาทุนเรียนเอง ตอนเด็กๆ ผมเป็นเด็กขยันก็รับจ้างเกือบทุกอย่าง เช่น ทำของไปขาย ไปทำงานล่วงเวลา วัยเด็กผมเป็นคนเหยียบขี้ไก่ฟ่อ”

ลูกว่านอนสอนง่ายเป็นธรรมดาที่ทั้งพ่อและแม่จะรักและเอ็นดู ในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ไม่ได้สอนเรื่องการเมืองหรือพูดเรื่องการเมืองให้ลูกฟัง และตั้งแต่เด็ก ศักดิ์ชัย บอกว่าเขาก็ไม่ใช่คนแอ็กทีฟด้านการเมือง ไม่ได้หัวรุนแรงขนาดเป็นผู้นำกลุ่มประท้วงอะไร เพียงแต่ไปร่วมชุมนุมเท่านั้น เช่น การเข้าร่วมชุมนุมครั้ง 14 ต.ค. 2516 หรือการชุมนุมเสื้อเหลืองเมื่อปี 2551 แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมชัดเจน แต่ด้วยมีใจที่รักความยุติธรรม ไม่ชอบการข่มเหงรังแกล้วนเป็นแรงผลักดัน

ปฏิเสธไม่ใช่นักเคลื่อนไหว

“จริงๆ ผมไม่ใช่นักเคลื่อนไหว หรือนักต่อต้านเลย แต่ถ้ามีอะไรที่เราทำได้ เราไม่นิ่งเฉย” แม้การชุมนุมครั้งนี้เขาไม่ได้เป็นแกนนำในการชุมนุม แต่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ เพราะค่าที่เขาอยู่วงการแฟชั่นมานานกว่า 30 ปี ขยับจะทำอะไรก็มักเป็นจุดสนใจ และยิ่งเป็นนักสื่อสารมวลชน สังคมขับเคลื่อนไปทางใดก็ต้องสอดส่อง สนใจดูแลเป็นธรรมดา

“ผมเคยเป็นพวกคนหัวสมัยใหม่ ชอบสร้างสรรค์งานใหม่ๆ เราชอบคนที่มีหัวคิดใหม่ๆ เราเชื่อเรื่องความไม่ปิดกั้น คนหัวสมัยใหม่กับสมัยเก่าต้องเดินไปด้วยกัน โลกและสังคมคือการเปลี่ยนแปลง เราต้องนำความคิดทั้งเก่าและใหม่มากรอง และไปด้วยกันให้ได้ สังคมที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้เพราะทุกคนยึดมั่นในความคิดของตัวเอง”

สิ่งที่ผลักดันให้เขาออกมาแสดงตัวตนชัดเจนในครั้งนี้ ศักดิ์ชัย ตอบว่า เขาไม่ได้กล้า แต่ก็ไม่ได้กลัว คิดเพียงว่าเป็นหน้าที่ เขาไม่ชอบคนอยู่นิ่งเฉยแล้วออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องง่าย

“เราไม่ได้ทำผิด เราทำผิดหรือถูก ต้องถามตัวเอง ประเทศเราเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ แต่ปัญหาที่เราเป็นอยู่และเราอยู่ในสภาพนี้ เราต้องถามตัวเองว่า เราทำอะไรเพื่อเป็นประโยชน์กับสังคมแล้วหรือยัง การไปร่วมประท้วงของผม เนื่องจากผมเป็นคนดัง ก็ย่อมถูกจับตามอง เพราะพื้นที่ข่าวเป็นพื้นที่ของคนที่มีชื่อเสียง แต่จริงๆ คนที่ทำประโยชน์มากกว่าผมยังมี แต่สื่อไม่รู้จัก ก็เลยไม่ทำข่าว ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ผมชอบไปฟังปราศรัย แต่ไม่ได้เป็นฝ่ายบู้ แต่เป็นฝ่ายบุ๊น คือช่วยส่งน้ำล้างหน้า ยามเพื่อนร่วมชาติโดนแก๊สน้ำตาที่สะพานชมัยมรุเชฐเท่านั้น และสิ่งที่ผมได้เห็น คือ ตำรวจทำกับประชาชนแบบนี้ได้อย่างไร คือ พูดจาหยาบคายใส่ประชาชน เกินกว่ามนุษย์กับมนุษย์จะทำต่อกันได้ ผมทั้งรู้สึกตกใจและเสียใจ ประชาชนไม่หนีไม่ถอย เราก็สงสาร เราทำหน้าที่จำกัดมาก ทำให้ผมคิดว่าเราต้องต่อสู้”

"ความดีต้องชนะความชั่ว"ศักดิ์ชัย กาย

ทำ"เสื้อยืด"ยอดจำหน่ายถล่มทลาย

จากเสื้อยืด “ชัตดาวน์ แบงคอก” ที่ ศักดิ์ชัย ออกแบบเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ได้รับความนิยมแบบเกินคาด นำมาสู่การชักชวนคนดังอย่าง ไข่-สมชาย แก้วทอง และชัย ราชวัตร มาออกแบบเสื้อยืดซึ่งทำรายได้จากการจัดจำหน่ายได้มากกว่า 15 ล้านบาทแล้วภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนเศษ ปัจจุบันเสื้อยืดก็ยังขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนต้องออกแบบเสื้อยืดอีกหลากหลายลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีแบบไม่จำกัด คือซื้อแล้วซื้ออีก

“ตอนนี้เรียกว่าเราคิดจำหน่ายเสื้อยืดวันต่อวัน เพราะเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะยืดเยื้อไปถึงเมื่อไหร่ แต่ก็คิดลายไปถึงสงกรานต์แล้วนะ ตอนนี้พี่ไข่ออกแบบเสื้อยืดต้อนรับวาเลนไทน์แล้วเป็นรูปม้าสองตัวประกบกันเป็นรูปหัวใจ ส่วนผมก็ออกแบบเป็นรูปดอกกุหลาบสีแดง เราก็ตั้งใจจะผลิตเสื้อยืดไปเรื่อยๆ เพราะคนยังให้การตอบรับดีมาก ทำออกมาเท่าไหร่ก็ขายหมด เรียกว่าขายได้แบบเท่าทวีคูณ และผลิตไม่ทันแล้วตอนนี้ ยิ่งเราย้ายเวทีไปอยู่ปทุมวันยิ่งขายดีใหญ่เลย วันหนึ่งๆ ขายได้หลายพันตัว เสาร์อาทิตย์ขายได้เป็นหมื่นตัว บางคนซื้อแล้วซื้ออีก”

15 ล้านบาทสำหรับยอดจำหน่ายเสื้อยืด ศักดิ์ชัย มองว่า อาจเป็นเพราะพลังศรัทธาต่อการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ อีกทั้งคนศรัทธาในตัวศิลปิน สมชาย แก้วทอง และชัย ราชวัตร ศรัทธาที่ 3 คือ คนเชื่อในทีมงานว่าเงินทั้งหมดมอบให้การต่อสู้ของ กปปส.เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการต่อสู้ต่อไป

แม้การออกมายืนในแสงไฟด่านหน้า ศักดิ์ชัย อาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่เขาประกาศผ่านสื่อหลายต่อหลายครั้งว่าไม่กลัว เพราะมีคนที่เสี่ยงชีวิตกว่าเขาตั้งเยอะ

“ผมคิดว่า สิ่งที่เราทำเป็นความภาคภูมิใจ เราได้ใช้ความสามารถของเรา ไม่มีอะไรน่าเสียใจเลย เราเชื่อแบบนั้น ความดีต้องชนะความชั่ว เราทำความดีในจุดเล็กๆ พลังแห่งความดีจะชัดเจน รัฐบาลนี้ไม่ชอบธรรม คนเริ่มเห็นสิ่งที่รัฐบาลทำผิดพลาดไป โผล่ให้เห็นชัดเจนทีละอย่าง รัฐบาลเป็นโมฆะแล้ว เพราะไม่ชอบด้วยจริยธรรม คุณธรรม โกงในระดับนโยบาย และสิ่งที่ผมทนไม่ได้ คือ กลุ่มบุคคลมากมายที่เข้าทำร้ายสถาบันกษัตริย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งเรายอมไม่ได้ เราเกิดเป็นข้าลองละอองธุลีพระบาท ศูนย์ร่วมจิตใจของเราอยู่ที่สถาบันกษัตริย์ เรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานเหนื่อยยากมากที่สุด ไม่มีคิงของใครทำงานหนักแบบนี้อีกแล้ว เพื่อให้คนเราอยู่ดีกินดี ทำไมคนไทยไม่ดูแลพระองค์บ้าง สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกช้ำใจที่สุด เราเป็นคนไทย เรายอมรับไม่ได้”

ไม่หวั่น ศรส.ประกาศตัดท่อน้ำเลี้ยง

ศรส.ตั้งท่าจะตัดท่อน้ำเลี้ยง 136 คน ไม่ให้ทำธุรกรรมทางการเงิน ศักดิ์ชัย ประกาศว่า ตนเองไม่รู้สึกอะไร เพราะเขาไม่มีอะไรให้ตัด ไม่ได้เอาเงินบริษัทไปทำอะไร เขาสนับสนุนการชุมนุมเป็นการส่วนตัว

“ผมเอาเงินของประชาชนมาต่อเงิน ผมเอาเงินประชาชนมาผลิตเสื้อ ผมไม่ได้ใช้เงินผม ผมยืนอยู่ตรงกลางช่วยประชาชน ประชาชนเอาเงินมาบริจาคและผมเอาเงินไปต่อยอดให้เกิดผลประโยชน์ เพราะคุณไปอายัดบัญชีเขา ประชาชนไม่มีข้าวกิน ไม่มีหยูกยา จะให้ทำอย่างไร ผมไปช่วยตรงนั้น ผมไม่ได้เอาเงินของผมให้เขาไปซื้อของ ผมไปตัวเปล่า ผมก็ยังจะผลิตเสื้อต่อไป

คุณจะทำอะไรผมก็ทำไปเถอะ ตัดท่อน้ำเลี้ยงอีกกี่ท่อก็ตาม ก็จะมีท่อใหม่ๆ เกิดขึ้นมา คุณเชื่อผม ตัดได้ตัดไป ถึงแม้คุณจะทำลายแกนนำอีกกี่คน ถึงมีคำพูดที่ว่า หนึ่งตายล้านตื่น คุณตัดหนึ่งท่ออีกร้อยท่อก็จะผุดขึ้นมาแน่นอน รัฐบาลทำวิธีไหนก็ไม่ได้ผลทั้งนั้น รัฐบาลยังทำสิ่งที่ควรจะทำยังไม่รอดเลย (เสียงหนักแน่น) แล้วรัฐบาลจะมาทำเรื่องนี้ทำไม ทำไปก็ไม่ได้กลัว รัฐบาลนี้ไม่มีที่เดินแม้แต่ 5 ก้าวเลย จะไปเดินที่ไหน ผมรู้สึกสงสารชาวนา เขาจะใช้ชีวิตอย่างไร รัฐบาลดูแลตรงนั้นดีกว่า”

"ความดีต้องชนะความชั่ว"ศักดิ์ชัย กาย

อยากทำหนังสือพิมพ์ตีแผ่สังคม

ด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองทำให้ ศักดิ์ชัย มีความฝัน อยากทำหนังสือพิมพ์ในอุดมคติ คือ มีความซื่อตรงในการตีแพร่สังคมอย่างองอาจกล้าหาญ ดุจ “เหยี่ยวข่าว” แต่ตอนนี้สื่อทำหน้าที่ได้เพียง “อีกาคาบข่าว” แต่ดูเหมือนความฝันจะเป็นจริงคงยาก เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ อีกทั้งการทำหนังสือพิมพ์ต้องมีความรับผิดชอบในการปิดต้นฉบับให้ทันเดดไลน์ คงไม่สามารถปลีกตัวไปทำอย่างอื่นได้

“ผมเป็นคนไฮเปอร์ แรงเยอะ นิตยสารที่ผมดูแลอยู่ตอนนี้คือลิปส์ ที่กว่าจะมีวันนี้ได้ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ยากมากต่อการฝ่าฟันให้หนังสืออยู่รอดได้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ทำนิตยสารยุคแรกๆ เราไม่มีนายทุนเลย เราต้องสู้ ต้องสร้างความน่าเชื่อถือทั้งคนอ่านและเอเยนซี ซึ่งทำยากมาก แต่ที่เราผ่านมาได้เพราะเราไม่ยอมแพ้ ทำให้ดีที่สุด ไม่ชนะไม่เลิกกลางคัน ผมค่อนข้างเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ซึ่งไม่ดีเลย เพราะทั้งหนักและเหนื่อย อะไรนิดไม่ได้เลย ตอนนี้ผมอายุ 55 ปีแล้ว เมื่อเราโตขึ้นความคิดเปลี่ยนไปทุกรอบของชีวิต ทุกวันนี้ผมรู้สึกพอแล้ว ไม่อยากได้อะไรเลย มีแล้วก็ไม่รู้สึกถึงการมี”

ผ่าน 55 ฝน ชีวิตมีสุข

ปัจจุบัน ศักดิ์ชัย บอกว่า มีความสุขกับงานที่หลากหลาย ทั้งการทำงานเพื่อสังคมสงเคราะห์ การเป็นวิทยากร อาจารย์สอนหนังสือ เป็นเทรนนิ่งฝึกอาชีพทางด้านสิ่งทอ และกล้วยไม้

“ผมชอบอยู่กับผู้ใหญ่ ซึ่งท่านให้ปรัชญาชีวิตมากมาย เช่น อาจารย์คึกฤทธิ์ สอนว่า เราจะทำอย่างไรให้ต้นไม้เราสวย ออกดอกผลิงาม ซึ่งเป็นคำถามที่คนถามกันมาก อาจารย์คึกฤทธิ์ก็จะสอนว่า ต้นไม้จะสวยได้ ก็อยู่ที่เงาของเจ้าของ ดังนั้นจะทำอะไรต้องใส่ใจและสนใจ เป็นหลักปรัชญาง่ายๆ ที่เราเอามาใช้กับงานได้ หรืออาจารย์ระพี สาคริก มักสอนว่า เราต้องพยายามทำตัวเองให้มีประโยชน์แม้เราเป็นเมล็ดข้าวเพียงเมล็ดเดียว ข้าวเมล็ดเดียวไปหล่นที่ไหนก็ต่อยอดเป็นรวงข้าวได้ ผมชอบคบหากับผู้ใหญ่ ชอบอยู่กับผู้ใหญ่ ชีวิตผมทำงานตั้งแต่เด็ก แต่เหมือนชีวิตของผมกระโดดไปกระโดดมา ได้ไปเรียนที่อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ จนผมไม่มีเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัย แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็น และผมไม่รู้สึกเดือดร้อนหากเราใฝ่รู้ ฝรั่งเรียกผมว่าเป็น Curiosity คือ เป็นคนน่าสงสัย ไปอยู่วงการไหนก็ได้หมด ทั้งวงการแฟชั่น การถ่ายภาพ กล้วยไม้ และอื่นๆ ดังนั้น เราอย่านิยามใครจากสิ่งที่เขาทำ เช่น ผมทำไฮโซแฟชั่นคนมักมองว่าผมเป็นไฮโซ แต่ดูการแต่งตัวผมธรรมดามากๆ ใส่เพียงเสื้อยืดเท่านั้น ดังนั้น เราอย่านิยามใครอย่างที่ตาเราเห็น ต้องดูจากสิ่งที่เขาเป็นดีกว่า”

อีกทั้งเราอย่าเอาอะไรมาวัดความสุขของคน คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่จำเป็นต้องรวยที่สุด คนร่ำรวยล้นฟ้าก็ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป

“ผมเคยจนและรวยมาแล้ว รวยก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป ชีวิตมันอยู่ที่เราเลือก เราจะเลือกอยู่อย่างไรให้มีความสุข คือ มีประโยชน์กับคนรอบข้าง เราทำกรรมดี เราจะกลัวอะไร ตัดท่อน้ำเลี้ยง ตัดอีกกี่ท่อก็ไม่มีผล ยิ่งอายัด ยิ่งมีคนเดินเอาเงินมาให้ลุงกำนันใหญ่เลย อยากพูดให้กลัว แต่คนไม่กลัว”