posttoday

คำต่อคำ ‘สมเกียรติ’เปิดมหากาพย์‘ทักษิณ’แทรกแซงอสมท.-ไอทีวี

24 มกราคม 2557

สมเกียรติ อ่อนวิมล ประกาศจุดยืนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ย้อนมหากาพย์ ทักษิณ-เฉลิม เเผ่อำนาจ อสมท.-ไอทีวี เผยถูกล็อบบี้เตะขา 'สมัคร สุนทรเวช' หนุน 'หญิงหน่อย' ขึ้นผู้ว่าฯ ตอกเเผลซื้อวุฒิสภา โหวต พ.ร.บ.แก้เกณฑ์ต่างชาติถือหุ้น เปิดทางรวย 7 หมื่นล้าน

สมเกียรติ อ่อนวิมล ประกาศจุดยืนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ย้อนมหากาพย์ ทักษิณ-เฉลิม เเผ่อำนาจ อสมท.-ไอทีวี เผยถูกล็อบบี้เตะขา 'สมัคร สุนทรเวช' หนุน 'หญิงหน่อย' ขึ้นผู้ว่าฯ ตอกเเผลซื้อวุฒิสภา โหวต พ.ร.บ.แก้เกณฑ์ต่างชาติถือหุ้น เปิดทางรวย 7 หมื่นล้าน

เริ่มเป็นที่วิพากษ์อย่างกว้างในโลกออนไลน์ ภายหลัง สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการสื่อสารมวลชน ตัดสินใจขึ้นเวทีปราศรัย กปปส.แยกอโศกเมื่อคืนวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ประกาศจุดยืนประเทศไทยต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง พร้อมย้อนมหากาพย์วีรกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี     

สมเกียรติ เริ่มต้นเล่าว่า ผมเริ่มต้นกิจกรรมทางการเมืองด้วยคนมองโลกสวย มองโลกสวยมาตลอดยาวนานตลอดชีวิต 60 ปี จนกำนันสุเทพ (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขธิการ กปปส.) ตัดพ้อต่อว่ามากกว่าเดือนว่าผมเป็นคนมองโลกสวย แต่ตอนนี้นับวันโลกของผมนับจะไม่สวยขึ้นทุกที เพราะผมเห็นการต่อสู้ของท่าน (มวลมหาประชาชน) ถูกขัดขวางด้วยความรุนแรงจากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ โลกที่สวยงามจึงหม่นหมองลง ผมจึงมาอยู่ที่นี่กับมวลมหาประชาชน เพราะที่นี่คือโลกที่สวยสงบงดงามที่แท้จริง

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ผมได้อ่านบทความหน่วยงานวิจัยชาวเมริกัน ชื่อ International Crisis Group เขาวิเคราะห์ว่าวิกฤตการเมืองไทย และการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนกลาง กทม.ว่าการให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ไม่มีทางเลือกอื่น แต่เป็นทางเลือกที่เป็นความหวังที่อ่อนล้าเต็มที เปรียบเสมือนคนลอยคอกำลังจะจมน้ำ เพียงแต่เกาะหญ้าปล้องน้อยที่ลอยปริ่มน้ำอยู่เท่านั้น อย่างไรก็ตามองค์การวิจัยระหว่างประเทศองค์การนี้สรุปว่า หญ้าปล้องน้อยที่ลอยปริ่มน้ำถือเป็นความหวังเดียวของประชาชนชาวไทย ไม่มีทางเลือกอื่นใดสำหรับปฏิรูปประเทศไทยให้ทัดเทียมอารยะประเทศ ผมอยากบอกว่าผมไม่ได้มาเกาะหญ้าปล้องน้อย แต่จะมาเป็นหญ้าอีกปล้องเสริมความแข็งแกร่งแห่งความหวังของมวลมหาประชาชน ต้องการให้ความหวังที่ลอยปริ่มน้ำเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่  สร้างสังคมประชาธิปไตย ให้ลูกหลานของเราอยู่ร่วมกัน สร้างชีวิตสร้างชาติให้อยู่ร่วมกันยั่งยืนตลอดไป

ผมจึงมาที่นี่สนับสนุนให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง และถ้ามีการเลือกตั้ง ผมจะไม่ไปเลือกตั้ง หากยังไม่มีการปฏิรูป เราพยายามเหน็ดเหนื่อยยาวนานเข้าเดือนที่ 3  เพื่อจะล้มระบอบบริหารประเทศที่ทุจริตคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ กว้างใหญ่ครอบคุลมระบบราชการ สถาบันการเมือง และกลุ่มพวกผู้มีอำนาจ ผู้มีธุรกิจการเมืองที่เราเรียกว่า “ระบอบทักษิณ”

...ตัวผมเองรู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่แรกเริ่มที่ผมเป็นนักข่าวโทรทัศน์ในวัยหนุ่ม และคุณทักษิณกำลังไต่เต้าทางธุรกิจสู่ความมั่งคั่งทางธุรกิจ ขยายอำนาจเข้าสู่การเมือง ตอนที่คุณทักษิณร่ำรวยมากขึ้น จนสังคมเห็นผิดสังเกต ผมเคยยกมือขึ้นถามกลางที่ประชุมตอนที่คุณทักษิณบรรยายว่าคุณทักษิณครับ คุณทักษิณร่ำรวยมากแล้ว ทำไมไม่จัดระบบและงบประมาณของ บริษัทเอไอเอส ชินคอร์ป แบ่งเงินเพื่อการวิจัยและพัฒนาไว้บ้าง สัก 2-3% ของยอดเงินรายได้ของบริษัทดังเช่น บริษัทสำคัญในโลก อย่าง บ.ซัมซุง ที่ตอนนั้นกำลังเริ่มโดดเด่น คุณทักษิณตอบผมว่า อาจารย์ครับ เอาเงินไปวิจัยเพื่อให้ได้นวัตกรรม ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นของตัวเองมันสิ้นเปลืองมาก ไม่คุ้มกัน นั่นคือคำตอบจากคุณทักษิณ คำตอบนี้ทำให้ผมไม่คิดว่าคุณทักษิณจะสร้างอาณาจักร ทางธุรกิจอุตสาหกรรม ให้เป็นอนาคตทางนวัตกรรมของระบบเศรษฐกิจไทย คำตอบนี้ทำให้ผมจึงไม่เห็นคุณทักษิณจะมีคุณค่าอะไร มากไปกว่าคนมีเงินมากธรรมดาๆ เท่านั้น

สมเกียรติ กล่าวต่อว่า เมื่อครั้งที่ผมทำงานร่วมกับ อสมท. มีครั้งหนึ่งคุณทักษิณพยายามจะเอาสัมปทาน ไอบีซี เคเบิ้ลทีวี จาก อสมท. แต่จนแล้วจนรอดคุณทักษิณก็ยังไม่ได้สัมปทาน แถมเทคโนโลยีของตัวเองก็ไม่มี ต้องไปให้บริษัทเคลียร์วิวจากฮาวายมาร่วมทุนด้วย มาวันหนึ่งคุณทักษิณก็เชิญผม ไปนั่งคุยกินข้าวขาหมูราชวัตรที่สำนักงานใหญ่ของไอบีซี อาคารหลังเล็กย่านราชวัตร คุณทักษิณถามผมว่าคิดอย่างไร ถ้าเขาต้องการที่จะเข้าไปเป็น ผู้อำนวยการ อสมท.เสียเอง เพราะคุณทักษิณต้องการจะเข้าไปเอาสัมปทานไอบีซีของอสมท.ให้มาเป็นของตัวเองอย่างง่าย ๆ

ตอนนั้นผมเป็นผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าวในฐานะ บริษัทเอกชนเล็กๆ เข้าร่วมงานกับช่อง 9 อสมท.ผมเดาว่าคุณทักษิณต้องการจะให้ผมร่วมเป็นพวกด้วย ผมก็ตอบไปว่าคุณทักษิณคุณจะทำแบบนี้ไม่ได้ คุณจะเอาสัมปทานจาก อสมท.แล้วจะเข้าไปเป็น ผู้อำนวยการอสมท.เสียเองอย่างนี้ไม่ได้ คุณทักษิณบอกว่าถ้าอย่างนั้นจะให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไปเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และจะได้ตั้งคนที่ไว้ใจได้ เป็น ผู้อำนวยการ อสมท.จะได้จัดการเอาสัมปทานมาให้ไอบีซีของชินคอรป์และทักษิณให้ได้ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ยอมรับว่าผมทึ่งในขีดความสามารถในการทุจริตแบบไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายของคุณทักษิณอย่างมาก 

สมเกียรติ บอกด้วยว่า เป็นระยะเวลา 30 ปีผ่านมาแล้ว นั่นคือจุดเริ่มของระบอบทักษิณ ผมรู้จักมันมา 30 ปีตั้งแต่คุณทักษิณยังไม่เป็นนักการเมือง ต่อมาเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ คุมงาน อสมท.คุณเฉลิมบอกกับผมโดยตรงว่า อ.สมเกียรติ เราเป็นพวกเดียวกันแล้วนะ จากนั้นมีกรณี ร.ต.อ.เฉลิมเคยให้สัมภาษณ์ว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งขณะนั้นเพิ่งพ้นจากตำแหน่งนายกฯ เป็นคนทุจริต ร่ำรวยผิดปกติ  มีบ้านถึง 3 หลัง ผมเป็นนักข่าวช่วยงาน อสมท.จึงส่งทีมงานไปพิสูจน์ว่า พล.อ.เปรม ทุจริต มีบ้านสามหลัง ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่  แล้วก็รายงานใน อสมท.ในข่าวภาคค่ำว่า พล.อ.เปรม ไม่ได้ทุจริต ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวหาแต่อย่างใด บ้านที่เกาะยอที่ควรจะเป็นของ พล.อ.เปรม คนสงขลาเป็นผู้สร้างให้ ท่านก็ไม่เอา ก็เลยกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกาะยอทุกวันนี้ บ้านที่ท่าแร้ง บางเขนก็ไม่มี ที่ดินก็ขายไปแล้ว บ้านที่โคราชที่กล่าวหากันก็เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งแม่ทัพภาค และบ้านสี่เสาก็เป็นบ้านของทางราชการตามระเบียบของกองทัพเท่านั้นเอง เมื่อคุณเฉลิมดูข่าวทางช่อง 9 ก็โทรศัพท์มาหาผมแล้วบอกว่า “อาจารย์ต่อจากนี้เราแยกทางกันเดินนะครับ”

จากนั้นคุณเฉลิมปลดผมออกจากงาน อสมท.โดยมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในสมัยนั้น แล้วเพื่อนคุณเฉลิมก็เข้ามาสวมสัมปทานสัญญาแทนผมหากินต่อที่ อสมท. ดังนั้นการที่คุณทักษิณเขียนในหนังสือตาดูดาว เท้าติดดินในตอนนั้นว่าคุณทักษิณไม่เคยยุ่งเกี่ยวอะไรกับ อสมท.นั้น ไม่เป็นความจริง ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบได้ขีดฆ่าข้อความเท็จของหนังสือเล่มนี้ไว้มากมายหลายแห่ง ผมต้องบอกว่าขณะที่คุณทักษิณตาเหม่อลอยจ้องจะคว้าดาวนั้น เท้าก็เหยียบย่ำทุกอย่างบนดินจนฟุ้งกระจายแหลกราญ

 ต่อมาในปี 2543 ผมได้รับเลือกตั้งเป็น สว.สุพรรณบุรี คุณทักษิณกำลังตั้งพรรคไทยรักไทยเพื่อไต่เต้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้ส่งคนมาทาบทามผมให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยแบบบัญชีรายชื่อ แต่ผมปฏิเสธ ต่อมาคุณทักษิณ โดยบริษัทชินคอร์ปก็เข้าไปซื้อหุ้นสถานีโทรทัศน์ไอบีซีจาก 10% พยายามให้มากถึง 40% ทั้งๆ ที่กฎเดิมห้ามไม่ให้ใครถือหุ้นเกิน 10% แต่คุณทักษิณก็แก้ไขกฎเกณฑ์จนทำได้ถึง 40% มันเหลือติดอยู่ที่ว่าค่าสัมปทานไอทีวีนั้นจะต้องจ่ายให้กับรัฐแพงมากถึง 2.5 หมื่นล้านบาทในช่วง 30 ปี

สมเกียรติ เล่าย้อนว่า คุณนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมว.พาณิชย์คนปัจจุบัน เป็นเพื่อนนักเรียนสมัยวัยรุ่นเรียนต่างประเทศรุ่นเดียวกันกับผม เป็นผู้บริหาร บ.ชินคอร์ปของคุณทักษิณ ก็ชวนผมเข้าไปทำงานที่ไอทีวี ผมก็รับงาน เพราะต้องการบริหารงานสถานีข่าวที่ในชีวิตนี้ยังไม่มีโอกาสเลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ แต่ว่าผมตื่นเต้นดีใจ รับงานที่เพื่อนเสนอให้ เป็นรองผู้อำนวยการไอทีวีสายงานข่าว ถือว่ามีอำนาจมาก เพราะคุมข่าวเกือบทุกเวลาของสถานี

ผมได้เงินเดือนจากคุณทักษิณ 2 แสนบาท และรถยนต์ประจำตำแหน่ง 2 ล้านบาท แต่ได้รับคำสั่งมาว่าผมจะต้องควบคุมข่าวไอทีวีช่วยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ให้ได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าฯ กทม.ชนะคุณสมัคร สุนทรเวช ให้ได้ ผมในฐานะผู้บริหารไอทีวีจะต้องกันไม่ให้ข่าวคุณสมัคร ออกมาไอทีวีมากกว่าคุณหญิงสุดารัตน์ซึ่งสังกัดพรรคไทยรักไทย ในวันใดที่ผมทำข่าวคุณสมัครมากว่าคุณหญิงสุดารัตน์ ผมจะโดนเรียกไปเตือนเพื่อตรวจสอบเทป แล้วก็บ่นว่าทำไมผมจึงทำอย่างนั้น แล้วผมก็ถูกขอว่าต้องช่วยพรรคไทยรักไทย ต้องช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกำลังไต่เต้าการเป็นนายกรัฐมนตรี ไอทีวีจะต้องทำข่าวช่วยให้คุณทักษิณครอบครองอำนาจทางการเมืองให้ได้ อันนี้คือคำสั่งคณะกรรมการบริหารชินคอร์ปและไอทีวีบอกกับผม

เขาต้องการให้นายเขา เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เขาบอกว่า ผมไม่ต้องห่วงธุรกิจของไอทีวี ไม่ต้องห่วงว่าไอทีวีจะขาดทุนเพราะเขาจะแบ่งงบโฆษณา 50%จากชินคอร์ปมาส่งไอทีวีเป็นประจำ ที่เหลืองบโฆษณาของชินคอร์ปอีกกว่า 50% จะกระจายไปใช้กับสื่อมวลชนทั้งประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายเพื่อนฝูงสื่อมวลชนทั้งหมดให้ดูแลคุณทักษิณให้ดี นี่คือ ความจริงของระบอบทักษิณยุคเริ่มแรก

ตอนที่ผมเป็น สว.ใหม่ ๆ ผมถูกขอให้ทำงานอีกชิ้นหนึ่ง กรรมการบริหารไอทีวีจากชินคอร์ปขอให้ผมช่วยจัดการในวุฒิสภาให้มีพวกในวุฒิสภามากพอที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงค่าสัมปทานไอทีวีที่เคยเสีย 2.5 หมื่นล้านบาท 30 ปี ให้เหลือต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท แล้วเมื่อได้เช่นนั้น ไอทีวีเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมก็จะได้สิทธิซื้อหุ้นในราคาถูก ตอนนั้นผมเตรียมตัวรวยได้เลยถ้าอยากรวย แต่ผมตัดสินใจลาออกจากไอทีวีทันที ผมไม่ขอร่วมงานกับคุณทักษิณและชินคอร์ปต่อไป หลังจากอยู่ได้ 2 เดือนและทราบแผนงานของคุณทักษิณที่จะครอบครองประเทศไทยด้วยไอทีวี

เมื่อเที่ยงวันอังคารที่ 5 พ.ย.ปี 2556 ที่ผ่านมา การที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของคุณทักษิณแถลงว่า ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะตกอยู่ในความรับผิดชอบของวุฒิสภา วุฒิสภาเป็นอิสระ รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะแทรกแซงไม่ได้นั้น ประสบการณ์ของผมแตกต่างจากที่คุณยิ่งลักษณ์พูดและที่คุณยิ่งลักษณ์พูดก็ตรงข้ามกับคุณทักษิณทำ ผมจึงเตือนให้ประชาชนจะได้ระวังภัยทุจริตซ้ำเป็นซ้ำสองจากคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ ที่แก้กฎหมายให้ตัวเองได้ประโยชน์ แก้กฎหมายให้ตัวเองไม่มีความผิดตามกฎหมาย ให้การกระทำการทุจริตที่อาจจะผิดกฎหมายเก่า แต่ไม่ผิดกฎหมายใหม่ นี่คือ คุณทักษิณ

ตอนผมเป็น สว.ปี 2544 คุณทักษิณนำพรรคไทยรักไทยชนะท่วมท้นในสภาฯ ได้เป็นนายกฯ แรกเริ่ม สมัยนั้น พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร เป็นประธานวุฒิสภา ผมเป็น สว.จากสุพรรณบุรี ผมกับคุณโสภณ สุภาพงศ์ สว.กทม.สามารถอภิปรายในการแปรญัตติชนะ ร่างพ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยแก้ไขจากร่างเดิมของคุณทักษิณที่บอกว่าให้ต่างชาติ ถือหุ้นได้ 49% คนไทย 51%  ผมกับคุณโสภณสามารถแก้เป็น 25% ต่อ 75% หมายความว่าผมต้องการให้คนไทยถือหุ้นมากกว่า 75% ความรวยจะได้ตกกับคนไทยทั้งระบบ แต่คุณทักษิณต้องการให้ต่างชาติถือ 49% แต่คุณทักษิณเผลอแล้วแพ้ในการโหวตในวุฒิสภาชั่วคราว 3 ปีเศษ แต่จากนั้นคุณทักษิณได้กลับไปพัฒนาทักษะการบริหารวุฒิสภา ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอิสระ ใครก็คิดว่าพรรคการเมืองไม่สามารถแทรกแซงได้

ปี 2547 คุณสุชน ชาลีเครือ สว.ชัยภูมิได้เป็นประธานวุฒิสภา คุณศรีเมือง เจริญศิริ สว.มหาสารคาม ได้ปรากฎตัวและทำกิจกรรมเป็นแกนนำ สว.สนับสนุนคุณทักษิณ และพรรคไทยรักไทย จากนั้นในช่วงปลายปี 2547 คุณทักษิณก็ส่งร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคมแก้ไขเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ ผ่านสภาฯ มาอย่างสะดวกและเข้าสู่วุฒิสภา คุณทักษิณต้องการทำให้ต่างชาติถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 49% ผมและคุณโสภณจึงเตรียมแปรญัตติแก้กฎหมายกลับที่เดิม แต่ว่าผมหมดโอกาสที่จะพูดแม้แต่คำเดียว เขาห้ามไม่ให้ผมแปรญัตติ อ้างว่าคำขอแปรญัตติของผมขัดต่อหลักการที่ร่างไว้ในกฎหมายอ้างว่าร่างขอแก้ไขต้องการให้กำหนดเปอร์เซ็นต์ตายตัว

นี่เป็นสิ่งที่เขาห้ามไม่ให้ผมแก้กฎหมายที่ไม่ตรงกับหลักการ คุณทักษิณและ สว.จำนวนมาก ชนะผมได้ตอนนั้น แต่ผ่านมาหลายปีคุณทักษิณก็สามารถให้พรรคพวกตัวเอง แก้ไขกฎหมายร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้โดยขัดหลักการ เพราะฉะนั้น นี่คือ ระบบสองมาตรฐาน ที่คุณทักษิณให้พวกตัวเองทำในสิ่งที่เคยห้ามผมทำ

ในปี 2547-2548 ผมประมาณตัวเลขจากการเก็บข้อมูลอย่างถี่ถ้วนโดยตัวผมเอง ว่า สว.ที่มีทั้งหมด 200 คนนั้น พบว่ามี สว.ที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมถูกดูแลความสุขสมบูรณ์เป็นรายเดือน เป็นประเภทสั่งให้ลงคะแนนเป็นกรณีพิเศษเป็นประมาณ 80-90 คนนอกจากนั้นก็มี สว.สายข้านราชการอาวุโสเก่าๆ ที่ช่วยลงคะแนนให้คุณทักษิณประมาณ 40-50 คน ที่เหลือก็จะเป็นกลุ่มอิสระแท้ๆ ที่จะไม่ยอมให้คุณทักษิณประมาณ 50-60 คนเท่านั้น ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย จากการบอกเล่าจาก สว.ที่สนิทกันบอกผมว่า ปกติเขาจะได้เงินเดือนประมาณ 5 หมื่น- 1 แสนบาท เป็นพิเศษจากคุณทักษิณ บางครั้งก็มีค่าตอบแทนเฉพาะกิจตามงานที่สั่งในสภา เพราะฉะนั้นในช่วงเวลา 3 ปีเศษ การดูแล สว.ไม่ถึง 100 คนด้วยเงินเพียงเล็กน้อย แต่พอผ่านกฎหมายไปได้ คุณทักษิณสามารถทำเงินมหาศาลโดยอาศัยประโยชน์จากการแก้กฎหมายฉบับนั้น

ร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาวันศุกร์ที่ 20 ม.ค.ปี 2549 พอถึงวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.ข้ามวันเสาร์และอาทิตย์ เพียงสองวัน ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ก็ขายหุ้นชินวัตรและชินคอร์ป ทั้งหมด 49% ให้กับบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิงส์ ของสิงคโปร์เป็นเงินถึง 7.3 หมื่นล้านบาท ในเวลา 2 วัน ถ้าหากรีบร้อนขายไปตามที่ขายได้ตามกฎหมายเก่า คือ 25% 3 ปี ก่อนหน้านั้นคุณทักษิณก็จะได้มีเงินเพียง 3.6 หมื่นล้านบาท แต่คุณทักษิณใช้วิธีการรอเพียง 3 ปี ซื้อ สว.เพียงไม่กี่คน แต่ได้เงินกำไรถึงเกือบ 4 หมื่นล้านบาท

คุณทักษิณเป็นคนเปิดเผยทำอะไรได้แล้ว จึงอยากทำแบบเก่า มั่นใจว่านักการเมืองซื้อง่าย ที่คุณยิ่งลักษณ์บอกว่าวุฒิสภารัฐบาลแทรกแซงไม่ได้นั้น อาจจะถูกต้องตามหลักรัฐธรรมนูญ แต่ในภาคปฏิบัติของพรรคเพื่อไทยสมัยที่ใช้ชื่อว่าพรรคไทยรักไทยนั้น ประวัติ พฤติกรรมทางการเมืองของคุณทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายบอกชัดเจนว่า วุฒิสภาสามารถแทรกแซงได้ โดยใช้เงินซื้อวุฒิสภา เขาทำมาแล้วและจะสานต่อไปตามที่พวกเขาหาเสียงเลือกตั้ง


“ท่านทั้งหลายนี่คือบางเรื่องจากประสบการณ์ของผมจากระบอบทักษิณที่มวลมหาประชาชนกำลังจะล้มให้สูญสิ้นจากสังคมไทย นี่ไงที่ผมบอกว่าโลกของผมมันเริ่มที่โลกสวยงาม กำนันสุเทพก็ค่อนแคะผมว่า เป็นพวกโลกสวย แต่ตอนนี้ กำนันสุเทพพูดถูกครับ โลกของผมไม่ได้สวยอีกต่อไป ผมจึงมาที่นี่ครับ มาทำให้มันสวยกลับที่เดิม”  นักสื่อสารมวลชนอาวุโสกล่าวในที่สุด