posttoday

เปิดรายงานร้อน!เล็งประจานศาลฯเวทีโลก

22 พฤษภาคม 2556

อินไซด์ที่ประชุมครม.21พ.ค. เตรียมใช้รายงานผลดำเนินงานของยธ. อัดศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองบนเวทีโลก

อินไซด์ที่ประชุมครม.21พ.ค. เตรียมใช้รายงานผลดำเนินงานของยธ. อัดศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองบนเวทีโลก

การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)  เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา   น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กระทรวงยุติธรรมได้เสนอรายงานผลการดำเนินการฉบับที่ 2 ที่จะต้องรายงานให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ที่ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งคณะทำงานของกระทรวงยุติธรรมจัดทำรายงานเสร็จแล้วเพื่อให้ครม.รับทราบ เนื่องจากไทยเป็นภาคีสมาชิกตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ต.ค.39 และเคยส่งรายงานผลการดำเนินการฉบับที่ 1 มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2547

ทั้งนี้ ระหว่างที่มีการพิจารณาวาระดังกล่าว   ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี  กล่าวในที่ประชุมว่า อยากให้ใช้เวทีนี้ในการที่จะสะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในประเทศเรา ในเรื่องอำนาจในการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ และการพิจารณาคดีเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมสากลหรือไม่

“เนื่องจากกรณีที่ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพียงศาลเดียวจะเป็นการขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่ และอย่างไร รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมควรจะดำเนินการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับที่ประเทศไทยเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่ จึงอยากทราบว่าหาก ICCPR ได้รับทราบว่า มีสภาพปัญหาแบบนี้ในกระบวนยุติธรรมของไทย ทางเวทีต่างประเทศจะมีความเห็นอย่างไร”

"ส่วนตัวผมเห็นว่าควรจะทำรายงานเปรียบเทียบว่าการที่ไทยมีศาลฎีกาฯ จะเหมือนหรือต่างกับนานาประเทศอย่างไรบ้าง และเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่ เพราะการพิจารณาคดีในศาลฎีกาฯ เป็นแค่ศาลเดียว ไม่มีการอุทธรณ์ ไม่มีการ"ร.ต.อ.เฉลิม  กล่าว

ขณะที่พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.กระทรวงยุติธรรม ในฐานะเจ้าของเรื่องดูเหมือนจะไม่อยากให้มีการนำรายงานดังกล่าวกลับไปปรับเปลี่ยนเนื้อหาในรายงานใหม่ และพยายามอธิบายต่อที่ประชุมครม.ว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 ได้เพิ่มบทบัญญัติจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ให้ผู้ซึ่งถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินว่ามีความผิด สามารถยื่นหลักฐานใหม่อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ดังนั้น การที่บอกว่า ศาลฎีกาฯ เป็นแค่ศาลเดียวจึงไม่ถูกต้องนัก นอกจากนี้ การส่งรายงานICCPR ยังมีกำหนดระยะเวลาอยู่ด้วย เกรงว่าหากนำรายงานฉบับนี้ไปแก้ไขอาจไม่ทันกำหนดระยะเวลา

ร.ต.อ.เฉลิม จึงเสนอว่า อาจจะส่งรายงานฉบับนี้ไปก่อนเบื้องต้น และส่งรายงานฉบับที่เพิ่มเติมเรื่องข้อสังเกตศาลฎีกาฯ ตามไปภายหลัง โดยจะให้คณะทำงานของตัวเองที่มีอยู่ไปทำงานร่วมกับคณะทำงานของกระทรวงยุติธรรมเพื่อดูในเรื่องเนื้อหา โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน

ด้านพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ  กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้รัฐธรรมนูญ ปี 50 จะกำหนดให้อุทธรณ์คำตัดสินของศาลฎีกาฯ ได้ก็ตาม แต่การกำหนดเวลาให้ยื่นพยานหลักฐานใหม่ภายในระยะเวลา 30 วัน ก็ไม่น่าจะมีใครไปหาพยานหลักฐานใหม่ภายในเวลาเพียงเท่านั้นได้ ที่สำคัญยังกำหนดให้ยื่นอุทธรณ์ได้แต่ข้อเท็จจริง ไม่รวมถึงข้อกฎหมาย ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักการในกระบวนการยุติธรรม

ท้ายสุดที่ประชุม ครม.จึงยังไม่มีมติรับทราบ และได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม และนายพงศ์เทพกลับไปพิจารณาทำรายงานเพิ่มเติมรายงานที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่วมกับคณะทำงานของกระทรวงยุติธรรม ก่อนนำกลับมาให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาอีกครั้ง

สำหรับรายงานผลการดำเนินการฉบับที่ 2  ดังกล่าว มีการจัดทำเอกสารจัดส่งจำนวน 100 เล่ม นำเสนอ 19 ประเด็น อาทิ 1.การถอนคำแถลงตีความ 2.การนำหลักการของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองไปปรับใช้กฎหมายภายในประเทศ 3.การทบทวนการลงโทษประหารชีวิต 4.การค้ามนุษย์และมาตรการในการดำเนินคดีและลงโทษผู้กระทำผิด 5.มาตรการให้สัญชาติแก่คนไร้รัฐ เป็นต้น

พร้อมกันนี้ มีการรายงาน มาตรการในการป้องกันการเละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผู้ทำงานด้านสื่อและนักหนังสือพิมพ์  สิทธิของผู้ถูกควบคุมตัวการสอบสวนการดำเนินคดีแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติมิชอบ และเป็นการเยียวยาผู้เสียหาย การสอบสวนและการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน  สถานการณ์การค้ามนุษย์  โดยรายงานมีการสุ่มตัวอย่าง การสัมภาษณ์ บอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ได้รับผลกระทบ ในแต่ละกรณี

นอกเหนือจาก 19 ประเด็นดังกล่าวยังมีการนำเสนอกระบวนการพิจารณาคดีของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  โดยมีการขอความเห็น  ICCPR  ว่า สมควรให้มีการปรับแก้กฎหมาย หลักการ ให้สอดคล้องกับหลักสากลหรือไม่ 

ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม บำรุง รองนายกรัฐมนตรี สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยธ.พิจารณาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า การให้อำนาจศาลฏีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาพิพากษาคดีเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงศาลเดียวจะสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิทางการเมืองข้อบทที่ 14 วรรคห้า หรือไม่