posttoday

สัมภาษณ์พิเศษ: เมื่อเปรตขอส่วนบุญผม

29 ธันวาคม 2555

"คนที่ปฏิบัติบำเพ็ญบุญกุศลมาถึงขั้นนี้ จะเป็นคนเนื้อหอม เปรต ผี วิญญาณพเนจรทั้งหลายมักจะมาขอส่วนบุญ เพราะเขารู้ว่าขอจากเราแล้วเขาได้"

"คนที่ปฏิบัติบำเพ็ญบุญกุศลมาถึงขั้นนี้ จะเป็นคนเนื้อหอม เปรต ผี วิญญาณพเนจรทั้งหลายมักจะมาขอส่วนบุญ เพราะเขารู้ว่าขอจากเราแล้วเขาได้"

โดย...ชุษณ์วัฏ ตันวานิช

ธรรมะเปลี่ยนชีวิต
         
ถือธงนำคนเสื้อแดงลุยโค่นอำมาตย์ในวิกฤตการเมืองปี 2552-2553 หลังควันไฟจาง กี้ร์ "อริสมันต์พงศ์เรืองรอง" แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตัดสินใจล้างภาพ แดงฮาร์ดคอร์หันหน้าสู่ทางธรรมบวชเป็นพระภิกษุที่วัดสัมพันธวงศ์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก่อนจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดียร่วม6เดือน ลิ้มรสพระธรรมคำสอนจน "นักร้องเสียงอมฮอลล์" บอกกับโพสต์ทูเดย์ว่า "ผมคนเดิมกลับมาแล้ว"

"ผมเดินทางไปหลายที่ ทั้งสังเวชนียสถาน พุทธคยานาลันทา ดงคสิริ แล้วก็ไปในจุดที่แก้กรรม เช่น ไปยังคุกที่ขังพระเจ้าพิมพิสาร เราก็นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมสวดมนต์ เดินจงกรม บางทีผมนั่งสมาธิเสร็จแล้วไปเดินรอบพุทธคยา300รอบ แล้วสวดมนต์ไปด้วย ส่วนใหญ่เป็นบทอิติปิโส ถวายพรพระบ้าง คาถาชินบัญชรบ้าง สวดจนกระทั่งว่าเราสามารถฮัมเป็นเพลงออกมาได้เลย" พระกี้ร์บรรยายภาพแบบไม่ทิ้งลายนักร้องเก่า
         
"ระหว่างนั้นเขาก็ให้เราทบทวนตัวเองว่าแท้จริงแล้วเราเป็นใคร ก็ไปนั่งสมาธิค้นหาทบทวนตัวเองว่าเราเป็นไปตามที่เขากล่าวหาไหม คือ เรารุนแรงจริงไหม เราฮาร์ดคอร์จริงไหม เราเป็นผู้ก่อการร้ายจริงไหม เอาแค่3ข้อก่อน (หัวเราะ) พอนั่งทบทวนดูก็รู้ว่าเราไม่ใช่ เราเคยเป็นอริสมันต์ เป็นคนโรแมนติกเป็นคนที่ชอบดอกไม้ สายลม แสงแดด หาดทรายชอบอะไรแบบนั้น ทำงานมา20-30ปีในโลกของบันเทิงก็ไม่เคยมีเรื่องในโลกของการเมืองก็ไม่เคยก้าวร้าวกับใครที่ไหน จนกระทั่งมาถึงวิกฤตรัฐประหารปี49"
         
กี้ร์ ย้อนเล่าวีรกรรมว่า รัฐประหารเป็นตัวจุดประกายสร้างความไม่ชอบธรรมในบ้านเมือง เพราะยึดอำนาจรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศเกิดภาวะสองมาตรฐานในประเทศ ลงโทษยุบไทยรักไทยอย่างไม่เป็นธรรม แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับรอดจากการยุบพรรคเพียงแค่เรื่องหมดอายุความหลังจากนั้นเขาบอกว่าตัวเองยังถูกใส่ร้ายจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ว่ามีส่วนพัวพันกับโครงการทุจริตบ้านเอื้ออาทร

เหตุการณ์ที่เขาฝังใจเป็นพิเศษ คือ การถูกบุกจับตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์พร้อมกับ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. จนนำมาสู่เหตุการณ์สู้ขัดขืนกลางเวหาขึ้น เมื่อทุกอย่างยุติลง เจ้าตัวมาทราบภายหลังว่าภรรยาแท้งลูกจากการถูกจับตัวของเขา
         
"พอลงมาได้ สิ่งที่ผมรู้ คือ ภรรยาผมแท้งลูก เนื่องจากช็อกจนเข้าโรงพยาบาล เพราะไม่รู้ว่าผมเป็นตายร้ายดียังไงที่โดนจับขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป เราก็รู้สึกว่าโดนรังแกจนเสียลูกไปคนหนึ่งแล้วนะ ภรรยาผมก็ถูกส่งเข้าไอซียูและผ่าตัดด่วน แผลเป็นมันยังอยู่ ความแค้นมันก็ฝังตั้งแต่ตอนนั้น บอกกับตัวเองเลยว่าต่อไปนี้ทุกเรื่องต้องเต็มที่กับชีวิต มันเป็นสิ่งหนึ่งที่บีบให้ผมเป็นฮาร์ดคอร์"
         
ถึงเหตุการณ์ในอดีตจะรุนแรงขนาดไหน แต่อริสมันต์ย้ำว่า วันนี้ไม่เคยคิดเสียใจที่ชีวิตพลิกผันจากนักร้อง นักการเมือง มาเป็นผู้ต้องหาก่อการร้าย เพราะถือเป็นความเป็นไปของชะตากรรมชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจเป็นดีเอ็นเอที่ติดมาจากชาติที่แล้วจนมาถึงชาตินี้ แต่ชาติปัจจุบันถือว่าโชคดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสหันเข้าหาธรรม ทำให้เกิดสติในการดำเนินชีวิตหลังจากนี้มากยิ่งขึ้น
         
"เคยบอกแล้วว่าหากกลับมาอีกครั้ง ผมจะให้อภัยไม่อาฆาต หลังจากบวชเราก็ประพฤติตนอยู่ในศีลก็รู้ว่าพรหมวิหาร4คืออะไร มนุษย์เราต้องมีเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา เมื่อเป็นนักการเมืองก็ต้องรู้จักความรักที่แท้จริงที่จะให้กับประชาชน ยกตัวอย่างพรรคประชาธิปัตย์หลายสิบปีที่ผ่านมาคุณไม่สามารถครองใจประชาชนได้เลย เพราะคุณไม่มีความรักความเมตตา ความเข้าใจให้กับประชาชน

ในขณะที่พรรคไทยรักไทยเพิ่งเกิดมาไม่กี่ปี แต่เขากลับสร้างประชาธิปไตยกินได้ ประชาชนเข้าถึงสัมผัสได้ แต่พอชนะเลือกตั้งมากเข้า อีกฝ่ายแทนที่จะยึดกติกากลับหาวิธีอื่นมาล้มแทนไม่เคารพเสียงของคนที่มี1สิทธิเท่ากัน ทั้งที่คนรากหญ้านี่แหละถึงบางทีอาจไม่มีการศึกษา แต่เขามีความรู้ ความรู้กับการศึกษามันคนละแบบนะ เขาสนใจการเมืองมากกว่าคนข้างบนด้วยซ้ำ เพราะเขาลำบากมากกว่าไงเขาจึงต้องสนใจการเมือง

.แต่คุณกลับเกิดความอิจฉา ริษยา มาจ้องทำลายกัน ไปสร้างวิธีการ หาองค์กรหลักฐานต่างๆ นานาเพื่อที่จะพิฆาตคนอื่นให้ได้นี่แหละคือคุณไม่รู้จักความเมตตา กรุณา ยังเคียดแค้นกันอยู่แล้วไม่ยอมรับว่าคนอื่นดีกว่าตนตัวเองต้องถูกต้องและดีกว่าคนอื่นเสมอยึดกันแบบตัวกูของกู มันก็เลยเป็นปัญหา ที่สำคัญคุณไม่ได้เคียดแค้นขั้วตรงข้ามเพียงอย่างเดียว แต่คุณไม่มีความรักต่ออิสรภาพของประชาชน และไม่มีความรักต่อประชาธิปไตยด้วย" กี้ร์ฉายภาพการเมืองไทยผ่านหลักธรรมะที่เจ้าตัวย้ำว่าพูดไปโดยใช้สติอยู่เหนืออารมณ์ พลางเสริมว่า "ฉะนั้นธรรมะในใจนักการเมืองผมว่ามันจำเป็นต้องมีนะ"
         
อริสมันต์กล่าวก่อนเล่าวกเข้าสู่เส้นทางการปฏิบัติธรรมตลอดปีที่ผ่านมาว่า ระหว่างการบวชและศึกษาธรรมที่อินเดียได้ปฏิบัติธรรมและยึดหลักการสะสมบุญ"บารมี10 ทัศ" เขาเน้นสร้างทานบารมี ศีลบารมีปัญญาบารมี วิริยบารมี เมตตาบารมี สัจจะบารมี และอีกบารมีที่กี้ร์ยืนยันว่าเป็นหลักยึดสำคัญที่หากเขามีสิ่งนี้ตั้งแต่ต้นเส้นทางชีวิตอาจไม่พลิกกลับหลังหัน นั่นคือ"ขันติบารมี" หรือ "การอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์"
         
"ทานบารมีเราเคยทำมาเยอะ ศีลบารมีก่อนบวชเราก็พยายามที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่ปัญญาบารมี พอผมรู้สึกว่าจะต้องทำอย่างไรให้คนสวดมนต์ให้ได้ ให้คนรู้สึกว่าสวดมนต์แล้วไพเราะ สบายใจ โล่งใจเลยไปทำซีดีบทสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นบทอิติปิโสถวายพรพระ คาถาชินบัญชร บทแผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์ บทแผ่ส่วนกุศล ใส่เป็นดนตรีด้วย แจกจ่ายไป4-5หมื่นแผ่นให้คนไปฟังไปฝึกสวด"
         
"แต่ที่สำคัญต้องมีขันติบารมี เราจะโกรธคนได้ไหมวันนี้เป็นสิ่งทดสอบผมมากนะ ผมนั่งฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของหมอวรงค์ (เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลกพรรคประชาธิปัตย์) ที่อภิปรายเรื่องจำนำข้าวแล้วมาโยงกับผู้ช่วยภรรยาผม ผมก็คิด ไอ้นี่ จะเอายังไงกับกูวะ (หัวเราะ) อุตส่าห์อยู่เงียบๆ แล้วยังมาแบบนี้อีกคราวก่อนก็เคยว่าเราครั้งหนึ่งแล้วว่าเบ่งขึ้นเครื่องบินฟรีกล่าวหากันหมิ่นประมาทขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์เต็มไปหมด
         
...มาครั้งนี้เขาก็พยายามพูดถึงเราให้ได้ ผมก็พยายามที่จะอดกลั้น ฟังด้วยความอดทน ฟังแล้วเฉยๆ ไม่อยากตอบโต้อะไร แต่แน่นอนในทางการเมืองมันเสียหาย ก็เลยแถลงข่าวยืนยันความบริสุทธิ์ แต่ก็ยังยึดว่าความจริงมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราชนะ เรื่องนี้คนพูดเขารู้ดีว่าจริงหรือไม่ ละอายใจแค่ไหนเขารู้ ในใจเราก็พยายามคิดว่านั่นเป็นหน้าที่ เป็นบทบาททางการเมืองของเขา บางครั้งเราก็ต้องให้เขาเหยียบบ้าง ถ้าเราอดกลั้นได้ก็ต้องทน แล้วก็มีขันติ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน ไม่ไหวหรอก ผมบุกไปแน่ แหลกคาสภาเลย (หัวเราะ) เพราะถ้าพาดพิงถึงมา ผมก็ต้องรักษาสิทธิของผมอยู่แล้ว"
         
"เพราะฉะนั้นพอเราได้เรียนทางธรรมมาเราก็มีขันติ มีความเมตตา มีความเข้าใจมนุษย์มากยิ่งขึ้น แล้ววางตัวให้เป็นกลาง มีอุเบกขาอย่าทำใจให้แกว่ง ต้องทำใจให้นิ่ง อย่าหวั่นไหวกับสิ่งที่มันเข้ามากระทบเรามีเมตตาธรรม ขันติบารมี มีสัจจะบารมีในการที่เราจะประคองตนอยู่ในกรอบ อยู่ในศีล อยู่ในสิ่งที่มันดีงามต่อสังคมเราก็ต้องยึดถือให้เป็นสัจจะ เป็นสรณะในการที่จะนำสิ่งนี้ทั้งหมดเป็นเครื่องนำทางในการดำเนินชีวิตของเราอย่างมีความสุข"
         
ช่วงหนึ่งเจ้าตัวเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าเคยรอดพ้นจากคมกระสุนจริงในภารกิจจับตาย ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค ในเหตุการณ์การเมืองเมื่อปี
         
2553อริสมันต์ ยืนยันว่า สมเด็จพระนเรศวรฯและหลวงพ่อฉุย เพชรบุรี ที่ห้อยคอไว้นำพาเขารอดพ้นจากกระสุนเอ็ม16ของเจ้าหน้าที่ที่กราดยิงเข้ามาในห้องพัก จนเขาต้องกระโจนตัวหนีอันเป็นที่มาของฉาก "กี้ร์โรยตัว" จนดังกระฉ่อนเมือง
         
อริสมันต์ เผยว่า ประสบการณ์เรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นอีกครั้ง ระหว่างนั่งรถทัวร์เพื่อเดินทางไปขึ้นเครื่องบินโดยสารกลับจากอินเดียสู่ประเทศไทย ระหว่างทางที่จอดพักมี เปรต 4 ตนมาล้อมขอส่วนบุญ
         
"วันที่ผมเดินทางกลับจากพุทธคยามานั่งเครื่องบินที่กัลกัตตานั่งรถออกไปประมาณ1ทุ่มซึ่งทางไกลมาก แล้วทางมันแคบและอันตรายมาก คนขับก็ขับไม่ไหวเลยจอดนอน2ครั้ง ครั้งแรกผมก็หลับไม่รู้สึกอะไร ไปจอดอีกครั้งประมาณตี5กว่า ผมก็ตื่นแล้วแต่ขณะที่ผมนั่งอยู่ ลองนึกดูรถทัวร์มันก็สูงใช่ไหม ปรากฏมีเปรต 4ตนโน้มตัวลงมาหาผม ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าตัวอะไร เพราะมองแล้วมันกลับหัวไง เพราะเขาโน้มตัวลงมา แล้วลักษณะมือก็แบๆ ใหญ่ๆ ปากก็จู๋ๆ หน้าตาแบบดูไม่ได้
          .
..สะกิดเรียกทนายที่นั่งข้างๆ ก็ไม่ยอมตื่นเราก็เลยสวดแผ่เมตตา "อิทัง สัพพะ เปตานังโหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา (ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลาย ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข) ท่องให้เขาไปจนกระทั่งบทสวดจบ เราก็บอกขอให้เขาไปเกิดในภพหน้า เป็นมนุษย์อย่างมีความสุข ขอผลบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญครั้งนี้ เปรตทั้งหลายจงได้รับ แล้วก็เจ้ากรรมนายเวรอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
         
...ขณะที่เราท่องเสร็จปุ๊บ ตัวมันค่อยๆ ย่อเล็กลงมา เขาใส่ชุดขาว ใส่หมวกกลมๆ คล้ายๆ เรือใบ แล้วก็เดินพนมมือผ่านผมไป4คน ผมก็มาเล่าให้หลวงพ่อพระพรหมเมธีฟัง (ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์) ซึ่งท่านเดินทางไปด้วยหลวงพ่อก็บอกว่าหลวงพ่อก็เคยเห็น เคยพบ คนที่ปฏิบัติบำเพ็ญบุญกุศลมาถึงขั้นนี้ จะเป็นคนเนื้อหอม เปรตผี วิญญาณพเนจรทั้งหลายมักจะมาขอส่วนบุญเพราะว่าเขารู้ว่าขอจากเราแล้วเขาได้"
        
 รมต.อย่ากินพุงกาง
         
ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดงที่ร่วมกันฝ่าฟันจนรัฐบาลประชาธิปัตย์ ตัดสินใจยุบสภา เปิดทางให้มีการเลือกตั้งจนพรรคเพื่อไทยฟื้นอำนาจอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ยอมรับว่า ขณะนี้เป้าหมายใหญ่โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการปล่อยตัวนักโทษการเมืองยังไม่ได้รับการผลักดันเท่าที่ควรจากรัฐบาลที่คนเสื้อแดงสู้เสีย
         
เลือดแลกมา แต่คาดว่าปีหน้า2556พรรคเพื่อไทยจะเร่งเครื่องเดินหน้าปฏิรูปประชาธิปไตยมากกว่าปีที่ผ่านมา
         
"เหมือนกับว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยลืมสัญญาที่ให้ไว้ก่อนการเลือกตั้ง แต่เราเข้าใจว่าบางทีกว่าจะได้อำนาจมามันก็ยากเย็นยาวนานแล้วรัฐบาลจะเอาเผือกร้อนมาทำก่อนก็ต้องประเมินแรงกระเพื่อมจากสังคมให้รอบด้านคนที่อยู่ในอำนาจยังดูเชิงกันอยู่ แต่ผมเชื่อว่าภายในปีหน้าไม่ช้าเกินไปที่เราจะสามารถเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยได้"
         
อริสมันต์ ยังชี้ว่า แม้จะตอบสนองเป้าหมายได้ไม่ครบถ้วน แต่เชื่อว่าแนวร่วมเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลยังไม่ลดลงไป ส่วนหนึ่งเพราะยังพอใจในนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยเหลือประชาชนทุกระดับทั้งค่าแรง300บาท ที่เตรียมประกาศใช้เต็มพื้นที่ นโยบายช่วยเหลือสินค้าการเกษตรรถไฟความเร็วสูงและอภิโปรเจกต์อื่นที่เตรียมดึงดูดการลงทุน และการท่องเที่ยว เชื่อว่านโยบายเหล่านี้ยังคงซื้อใจประชาชนที่ไว้ใจให้พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ต่อไป
         
"แต่สิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที คือ เร่งช่วยเหลือนักโทษชาวบ้านที่ไม่ใช่นักการเมือง" แกนนำแดงฝากถึงรัฐบาล พร้อมทั้งย้ำว่า "โดยเฉพาะนักโทษที่มีคดีเกี่ยวกับมาตรา112และนักโทษในห้วงความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา คนเหล่านี้ควรที่จะให้ความเป็นธรรมกับเขามากที่สุด เราไม่อยากให้มีนักโทษการเมืองถูกติดคุกเหมือนกับนักโทษที่เป็นโจร ซึ่งมีความแตกต่างกัน คนเหล่านี้เขาต่อสู้เพื่อสังคม ต่อสู้เพื่อจะอยากเห็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบในประเทศไทย เขาจึงกระทำการใดๆ โดยคาดไม่ถึง"
         
"คนที่เป็นรัฐมนตรีทั้งหลายอยากให้หันกลับมาดูหน่อย ไม่ใช่ว่าวันนี้คุณได้หน้าแล้วลืมหลัง ลืมกระบวนการต่อสู้ทุกอย่าง ว่ากว่าจะได้มาซึ่งอำนาจนั้นมันมีคนจำนวนมากที่ต้องเป็นทุกข์ มีประชาชนอีกเยอะที่ต้องบาดเจ็บล้มตายกว่าจะได้ประชาธิปไตยมา มันไม่ได้หมายความว่าจบไปแล้วก็จบๆ กันไป แต่ความผูกพัน ความระลึกถึง ความห่วงหาอาทร ความห่วงใยมันควรจะมีต่อกันบ้าง
          .
..รัฐมนตรีทุกคนต้องรู้จักดูบ้าง ไม่ใช่พวกคุณโอ้โห วันนี้มีโอกาสก็ฟัดเต็มที่ พุงกางเลย อย่างนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน หากเราเป็นรัฐบาลแล้วกลับได้คนที่หวังแต่มาฉกฉวยผลประโยชน์ซะเต็มที่พวกผมก็รู้สึกบาปเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ขอให้ระลึกถึงว่าประเทศชาติมันบอบช้ำเสียหายมามาก ต่อจากนี้ไปต้องเดินหน้าทำเพื่อประชาชนอย่างกล้าหาญ พวกเรามันกล้าตายไม่ใช่กล้าหาญ แต่ท่านอยู่ข้างบนขอแค่กล้าหาญอย่างเดียวก็นำพาประเทศชาตินำไปสู่ความสำเร็จได้
     
..อย่าลืมว่าไอ้ความกล้าหาญนี่แหละที่ต้องมีในใจ แล้วยึดหลักให้มั่น อย่าไปกลัวว่าจะได้อยู่ในอำนาจได้แค่ในช่วงเวลาสั้นๆ เพราะความกลัวอาจจะทำให้ท่านอยู่ไม่ได้เลย หรืออาจจะอยู่ได้ในระยะเวลาอันน้อยนิด แต่ถ้ารัฐมนตรีมีความกล้า ต่อให้มันส่งผลให้ท่านอยู่ในอำนาจได้ในช่วงสั้นๆ แต่มันจะทำให้ท่านอยู่ในหัวใจประชาชนได้ยาวนาน ตรงนี้สำคัญกว่ามาก"
         
ทั้งนี้ อริสมันต์ ยังอัพเดตความคืบหน้าของคดีความให้ฟังอีกว่า ขณะนี้เหลืออยู่3คดี คือ คดีหมิ่นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คดีบุกการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา และคดีตกเป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเมื่อปี2553
         
"คดีส่วนตัวของผมที่พัทยา มีทนายบริหารจัดการดีอยู่แล้ว แต่วันนี้มองว่าคนในรัฐบาลน่าจะถามไถ่ถึงคดีความบ้าง โดยเฉพาะคดีก่อการร้าย เพราะมันไม่ใช่แค่ผม แต่ยังรวมไปถึงท่านทักษิณด้วย เพราะในทุกคดีท่านนายกฯทักษิณเกี่ยวพันด้วย เนื่องจากในคำฟ้องมันเกี่ยวพันทุกเรื่อง"อริสมันต์1ในขบวนการร่วมหัวจมท้ายของแกนนำแดงแสดงความกังวลไปถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
        
..จะสืบพยานอยู่ไม่กี่วันแล้ว ทนายยังไม่เคยมีการประชุมกันสักครั้ง ดูสิน่าสงสารขนาดไหนคดีธรรมดายังถูกจำคุกเลย แล้วคดีก่อการร้ายผลจะเป็นอย่างไร ผมจึงบอกไงว่ามันต้องมีการถามไถ่กันบ้าง ท่านก็ยังไม่ได้มอบหมายใครโดยตรงแต่ไม่ใช่หน้าที่ของท่านแล้วละ เพราะท่านก็เป็นจำเลย คนที่อยู่ในประเทศไทยต่างหากที่ต้องดูแลต้องแอ่นอกมาเลยว่าคดีนี้ผมขอเป็นเจ้าภาพนั่งหัวโต๊ะประชุม หน้าที่ของคนในรัฐบาลต้องหันมาดูคดีเหล่านี้บ้าง
         
"ส่วนคดีพัทยาผมรับผิดชอบเองได้ โดยจะพยายามเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยให้หมด แต่คดีก่อการร้ายนี่มันรวมหมด ผมก็สงสารนายกฯทักษิณ เพราะยังไม่เห็นมีใครไถ่ถามคดีความที่เขาเกี่ยวข้องเลย วันนั้นผมก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาท่านเลยว่าอย่างนี้ต้องคอนเซนเทรตกันหน่อยนะ แต่บางครั้งคนที่เดินทางไปหาท่านก็รายงานมั่วให้ท่านสบายใจว่าเรื่องคดีไม่ต้องห่วงจัดการได้ แต่จริงๆ จัดการไม่ได้หรอก ถ้าปล่อยสู้กันไปแบบนี้มีหวังได้ติดคุกกันหมด" n

สมัยนี้ต้องปลุกม็อบด้วยปัญญา
         
ใช้ธรรมะกล่อมเกลาจิตใจจนสลายความ "ฮาร์ดคอร์" ไม่เหลือคราบ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแนวทางวิธีคิดส่วนตนเท่านั้น แกนนำแดงพัทยารายนี้ประกาศว่า ต่อจากนี้แนวทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงต้องยกระดับสติปัญญาให้สูงขึ้นและใช้อารมณ์ให้น้อยลง
         
กี้ร์ ระบุว่า สมัยนี้ต้องปลุกม็อบด้วยปัญญาหากเราสร้างปัญญาให้เขาแล้วต่อไปไม่ต้องมีแกนนำ ประชาชนจะมากันเอง วันนี้ได้เห็นแล้วว่าม็อบ เสธ.อ้าย (พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ประธานกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม) สุดท้ายก็ล้มสลายไปเอง กลุ่มเสื้อแดงก็พยายามที่จะยกระดับตัวเอง ไม่ไปชนกับม็อบ เสธ.อ้าย เพราะฉะนั้นภารกิจของคนเสื้อแดงในการออกมาเดินขบวนแห่ประท้วงมันจบแล้ว แต่การพัฒนาประชาธิปไตยมันยังไม่จบ
         
"อย่างตอนนี้คุณอภิสิทธิ์ขัดขวางการทำประชามติเต็มที่ ผมก็ทำประชาธิปไตย3บาทให้ประชาชนเขียนไปรษณียบัตรให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เป็นการแก้ปัญหาโดยยกระดับจิตใจของประชาชนขึ้นมาว่า เฮ้ย!มันหมดสมัยแล้วไอ้การที่จะมีแกนนำพาพี่น้องมาเดินขบวน เกิดปัญหาวุ่นวาย พี่น้องบาดเจ็บ แกนนำถูกจับ ถูกตั้งข้อหารุนแรงอยู่ในคุก เป็นวังวนไม่จบสิ้น ดังนั้นเราต้องแสดงออกอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องออกไปตามถนนแต่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้เช่นกัน
         
...แต่หากมีเสื้อแดงบางส่วนที่ยังตามไล่ล่าคุณอภิสิทธิ์ อยากบอกว่าคุณไม่ต้องไปไล่ล่าเขาหรอก เพราะสิ่งที่ไล่ล่าอภิสิทธิ์ คือ กรรมที่กำลังตามติดประชิดตัว คุณอภิสิทธิ์จำไว้ว่าคุณมีทางสีดำเป็นล้านกิโลเมตร และสีดำก็คือบาป แต่คุณมีบุญแค่1หยดน้ำ คุณจะเอา 1หยดน้ำไปละลายสีดำให้เป็นสีขาวเป็นน้ำใส มันไม่มีทาง" กี้ร์ทิ้งท้าย