posttoday

รัฐธรรมนูญของกลุ่มทุน

13 ธันวาคม 2555

รธน.จากการปฏิวัติของทหาร น่ากลัวน้อยกว่ารธน.จากการยึดอำนาจของกลุ่มทุนสามานย์ที่พยายามเข้าไปแตะสถาบันสูงสุด

โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

เดือน ธ.ค.ของทุกปีถือว่าเป็นเดือนมงคล เพราะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับปีนี้คนไทยมีความสุขอย่างยิ่ง ที่พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ณ สีหบัญชรของพระที่นั่งอนันตสมาคม ในวันที่ 5 ธ.ค. ที่ถนนทุกสายคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่มุ่งหน้าไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า และสุขใจที่ได้เห็นพระองค์ท่านทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง

คนไทยรักในหลวง เพราะในหลวงรักคนไทย คนไทยไม่ได้รักในหลวงอย่างงมงาย แต่รักอย่างมีเหตุผล เพราะในหลวงทรงงานหนักเพื่อคนไทยกว่า 62 ปี โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่คำนึงถึงความลำบากพระวรกาย เสด็จฯ ไปเยี่ยมประชาชนทุกแห่งแม้แต่ถิ่นทุรกันดารและเสี่ยงภัย

อย่างไรก็ดี คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกหงุดหงิดกับการกระทำของรัฐบาล กระแสพระราชดำรัสยังไม่ทันจากหาย ฝ่ายรัฐบาลก็รีบออกมาแถลงที่จะเดินหน้าลงมติผ่านวาระ 3 แก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามด้วยการให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ถ่ายทอดสดคุณทักษิณ ในพิธีเปิดการแข่งขันมวยไทยจากมาเก๊า เท่ากับเป็น “การชิงพื้นที่ข่าว” ให้คนเบนความสนใจจากวันเฉลิมพระชนมพรรษาเร็วขึ้น ทำให้นึกย้อนหลังไปเมื่อรัฐบาลสั่งไม่ให้มีการจุดพลุเฉลิมฉลอง ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนล่วงหน้าของฝ่ายวางแผน ที่เชี่ยวชาญในเรื่องสงครามข่าวสาร พฤติกรรมเช่นนี้ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากลดทอนความสำคัญของวันดังกล่าว และเบี่ยงเบนความสนใจไปสู่เรื่องอื่น

ภาพที่คนไทยทุกหมู่เหล่าไปเข้าเฝ้าฯ อย่างมืดฟ้ามัวดินในวันนั้น เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณไปยังทั่วประเทศ ว่า คนไทยยังมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหนียวแน่น ใครที่คิดไม่ดีต่อสถาบันต้องคิดใหม่ นักยุทธศาสตร์ของรัฐบาลคงตกใจพอสมควร เพราะไม่คิดว่าจะมีมวลมหาประชาชนมาแน่นขนัดเช่นนี้ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ถูกปลุกระดมให้เกลียดชังสถาบันสูงสุดมีเพียงเท่ากับผีกริ้น ขณะเดียวกันเป็นการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลก ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยยังเป็นสถาบันที่มีความเข้มแข็งมากที่สุดในโลก

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 ซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองในไทยกำลังร้อนแรง ประเทศทุนนิยมตะวันตกหลายประเทศเริ่มเอนเอียงตามคำโฆษณาชวนเชื่อไปยังกลุ่มทุนนิยมเบ็ดเสร็จ ซึ่งมีอำนาจอยู่ในขณะนั้น แต่พอเห็นคลื่นมหาชนสีเหลืองเต็มแน่นลานพระบรมรูปทรงม้าล้นไปยังถนนราชดำเนินนอกสุดลูกตา มีเรื่องเล่าว่า ทำให้ทูตอภิมหาอำนาจประเทศหนึ่งได้แจ้งให้ผู้นำไทยขณะนั้น ทราบถึงจุดยืนของประเทศของเขาว่า “หากรัฐบาลมีปัญหากับวัง เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องสนับสนุนวัง” เพราะเขาได้ตระหนักถึงพลังของสถาบันกษัตริย์ในไทย ที่มีประชาชนเป็นกำแพงอันแข็งแกร่งหนุนอยู่เบื้องหลัง ในปี 2555 แม้ยังไม่มีเรื่องเล่าเหมือนกับปี 2549 แต่ผู้นำประเทศต่างๆ ที่ดูโทรทัศน์ระดับโลกก็คงตัดสินใจได้ว่าจะยืนอยู่ที่จุดไหน

ความพยายามในการ “ขอแบ่งสรรอำนาจ” จากพระมหากษัตริย์มีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 ครองราชย์ได้ 18 ปี โดยขุนนางคณะหนึ่งจำนวน 11 คน ได้ถวายบันทึกขอให้ทรงพิจารณาปรับรูปแบบการปกครองเป็น “ระบอบรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นการปกครองโดยความรับผิดชอบร่วมของคณะเสนาบดี คือ คาบิเนต ที่มีเอกอัครราชมหาเสนาบดีเป็นประธาน ซึ่งถือว่าเป็นการขอแบ่งสรรอำนาจจากพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 5 มิได้ทรงถือโทษว่าเป็นกบฏ แต่ได้ทรงชี้แจงด้วยเหตุผลที่พระองค์เห็นว่าประเทศยังไม่พร้อม แต่ “จะมอบให้ลูกวชิราวุธมอบของขวัญแก่พลเมืองในทันทีที่ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ กล่าวคือ ฉันจะให้เขาให้ปาลีเมนต์และคอนสติติวชัน”

ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้เตรียมพระราชทานแล้ว แต่ถูกที่ปรึกษาไทยและต่างประเทศทัดทานไว้ เพราะประชาชนยังขาดการศึกษา ขาดวิจารณญาณในการเลือกผู้แทนราษฎรที่ดี ที่จะทำให้รัฐสภาไม่สามารถทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง พระองค์ท่านจึงตั้ง “ดุสิตธานี” เมืองประชาธิปไตยจำลองขึ้นมาฝึกประชาธิปไตย คนกลุ่มหนึ่งซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “กบฏ ร.ศ.130” ได้วางแผนยึดอำนาจตามแบบปฏิวัติฝรั่งเศส ผู้ก่อการที่เป็นทหารต้องการให้มีพระมหากษัตริย์ต่อไป แต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการแบ่งสรรอำนาจกัน โดยเชิญพระราชวงศ์องค์อื่นขึ้นครองราชย์แทน แต่ฝ่ายพลเรือนต้องการเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐหรือยึดอำนาจทั้งหมดมาจากพระมหากษัตริย์ ในที่สุดแผนร้ายได้รั่วออกไปและผู้ก่อการถูกจับได้ทั้งหมด แต่ก็ได้พระราชทานลดโทษแก่ผู้ก่อการทั้งหมด

คณะผู้ก่อการประสบความสำเร็จในการแบ่งสรรอำนาจในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเตรียมพระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญไว้ให้แล้ว แต่ไม่ทันใจ นายทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่งได้ปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 โดยขอแบ่งสรรอำนาจมาให้รัฐบาลบริหารแต่ให้มีพระมหากษัตริย์ต่อไป มีเพียงส่วนน้อยมากที่อยากเปลี่ยนประเทศให้เป็นสาธารณรัฐแบบสังคมนิยม

คณะผู้ก่อการ 2475 ทั้งทหารและพลเรือนที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นครองอำนาจตั้งแต่ปี 2475-2501 ได้ลดทอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จนแทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ มี “กลุ่มทุนเบ็ดเสร็จ” หรือ “ทุนสามานย์”ยังพยายามลดทอนพระราชอำนาจลงไปอีก ให้จับตาดูรัฐธรรมนูญของกลุ่มทุนที่จะร่างใหม่ ซึ่งจะกำหนดรูปแบบประเทศไทยในอนาคตที่กลุ่มทุนต้องการ

รัฐธรรมนูญจากการปฏิวัติของทหาร น่ากลัวน้อยกว่ารัฐธรรมนูญจากการยึดอำนาจของกลุ่มทุนสามานย์ที่พยายามเข้าไปแตะสถาบันสูงสุด สถาบันตุลาการ และองค์กรอิสระที่ตัวเองคุมไม่ได้ คำถาม คือ ประชาชนจะยอมให้กลุ่มทุนนี้กระทำการเช่นนั้นหรือไม่ ใครอยากรู้ก็ให้ย้อนไปดูปรากฏการณ์ลานพระบรมรูปทรงม้า วันที่ 5 ธ.ค. 2555