posttoday

ความจริงไม่มีวันตาย

27 กันยายน 2555

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นวัน เดือน ปี ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงเช่นเดิม และความจริงย่อมมีชุดเดียว

โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

ความจริงไม่มีวันตาย ภาพการเผายางรถยนต์บริเวณ สี่แยกวิทยุ ระหว่างการชุมนุมทางการเมืองเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2553

หลังจากรอคอยกันมาถึง 2 ปี ในที่สุด คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มี ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็ได้ฤกษ์เปิดเผยรายงานต่อสาธารณะ อาจกล่าวได้ว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานของ คอป.ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ของสังคมที่มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ขอเรียนว่า ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อนเมื่อมีการประกาศตั้ง คอป.นั้น พอเราดูรายชื่อคณะกรรมการ คอป. ก็บอกได้ทันทีว่า เป็นบุคคลที่ได้รับความเชื่อถือจากสังคม เมื่อผลงานถูกประกาศออกมา ถือว่าเป็นการค้นพบ “ชุดความจริง” ที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด ที่สำคัญ คือ มีการวิเคราะห์รากเหง้าของปัญหาและมีข้อเสนอแนะต่อองค์กรภาคส่วนต่างๆ ของสังคม เพื่อสร้าง “ความปรองดองที่ยั่งยืน” และใช้อดีตเป็นบทเรียนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหารุนแรงแบบเดียวกันนี้ขึ้นอีก

แม้รายงานของ คอป.ไม่ครอบคลุมความจริงทั้งหมด เนื่องจากมีอุปสรรคนานาประการ เป็นที่เข้าใจได้ว่า คอป.ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุด เป็นกลางที่สุด และให้ความเป็นธรรมที่สุด คู่ขัดแย้ง บางคนติงว่ายังไม่ลึกพอ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าแกนนำเหล่านั้นรู้เบื้องหลังอะไรดีๆ มากมาย แต่ถ้าคนที่รู้ลึก รู้จริง ไม่ยอมให้ข้อมูลและความจริงที่เป็นประโยชน์แล้ว จะทำให้รายงานสมบูรณ์กว่านี้ได้อย่างไร

อย่างไรก็ดี เพียงแค่ คอป.ยืนยันว่ามีชายชุดดำจริง ก็พอที่จะทำให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคนที่เคยออกมาพูดว่าไม่มีชายชุดดำ หรือไม่มีหลักฐานว่าชายชุดดำทำความผิด คงต้องหาทางพลิกลิ้นแก้ตัวไปเรื่อยๆ

ในรายงานของ คอป.มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่มากมาย แต่ทำไมคนบางคนจึงสนใจเฉพาะในส่วนของคนชุดดำ และดูเหมือนจะเดือดร้อน หรือเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างมากกับการที่ คอป.ยืนยันว่า มีคนชุดดำหรือชุดพรางที่ถืออาวุธสงครามปะปนอยู่กลุ่มผู้ชุมนุมและใช้อาวุธทำร้ายทหาร ตำรวจ และพลเรือนผู้บริสุทธิ์จนตายและบาดเจ็บจริง คนกลุ่มนั้นปฏิเสธอย่างแข็งขันถึงการมีอยู่ของคนชุดดำ ทั้งที่มีหลักฐานที่เป็นทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ

คำให้การของบางคนที่ถูกจับกุมและยอมรับสารภาพ ฯลฯ ซึ่งคนทั่วบ้านทั่วเมืองรวมทั้งผู้สื่อข่าวต่างประเทศต่างก็รู้ดี ทำให้สังคมตั้งคำถามว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงไม่ยอมรับความจริงในเรื่องชายชุดดำ

สังคมพยายามหาคำตอบว่าเพราะเหตุใด หรือเป็นเพราะว่า หากมีชายชุดดำจริง การอ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ คนก็ไม่เชื่ออีกต่อไป เพราะนี่คือการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและขาดความชอบธรรม ตรงกันข้าม จะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลชุดก่อนในการรักษาและฟื้นคืนความสงบเรียบร้อยของประเทศ แผนการนำอภิสิทธิ์และสุเทพขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็จะไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป สิ่งที่ได้ลงทุนลงแรงทำมาทั้งหมดจะสลายไป ดีไม่ดี คนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังที่ต้องการให้มีการตายเกิดขึ้นอาจตกเป็นฆาตกรเสียเอง หรือด้วยเหตุผลอื่น

การแสดงความไม่พอใจด้วยการฉีกรายงานของ คอป.นั้น ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรายงานของ คอป.แต่อย่างใด เพราะ คอป. เสนอความจริงทั้งหมดเท่าที่หาได้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้คนเหล่านี้ฉีกรายงาน คอป.เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่พวกเขาและไม่ว่าใครก็ “ฉีกความจริง” ไม่ได้ เพราะ “ความจริงก็คือความจริง” ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นวัน เดือน ปี ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงเช่นเดิม และความจริงย่อมมีชุดเดียว ไม่ได้มีหลายชุดเหมือนอย่างที่บางคนพยายามสร้าง “ความจริงที่ถูกบิดเบือนแล้ว” ขึ้นมาอีกฉบับ

ยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจในรายงาน คอป. นอก เหนือจากเรื่องชายชุดดำ โดยเฉพาะการวิเคราะห์หาสาเหตุหรือรากเหง้าของปัญหาที่สรุปว่า มาจากศาลรัฐธรรมนูญชุดแรก “หักดิบกฎหมาย” ในคดีซุกหุ้นครั้งแรก ที่ไม่มีใครยอมพูดถึง เพราะถ้าศาลตัดสินอย่างตรงไปตรงมา สถานการณ์บ้านเมืองอาจเปลี่ยนไป ไม่วุ่นวายหรือเสียหายเช่นที่เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ก็ได้ นอกจากนั้น “สารประธาน คอป.” และคำให้สัมภาษณ์ของประธาน คอป. เป็นสิ่งที่สังคมและภาครัฐควรนำไปเป็นบทเรียนและหาทางป้องกันไม่ให้ความเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นอีก

จริงอยู่ รายงานของ คอป.ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริงภายในชาติได้ แต่ถ้าทุกภาคส่วนของสังคมและรัฐบาลนำข้อเสนอแนะของ คอป.ไปปฏิบัติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็น่าจะเป็นก้าวแรกในการนำไปสู่ความปรองดองที่ยั่งยืนได้ และจะเป็นไปได้เร็วขึ้นหาก “ใครบางคน” ยอมเสียสละในแบบของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ และนักการเมืองต้องหยุดทำร้ายบ้านเมืองเสียที

ในไม่ช้าเราคงจะได้ฟังและอ่านรายงานของ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน” ซึ่งมีข่าวว่าจะเปิดเผยอย่างเป็นทางการหลังจากที่ คอป.เสนอรายงานแล้ว หากรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสอดคล้องกับของ คอป. ย่อมส่งผลกระทบต่อกลุ่มก่อการจลาจลไม่น้อย และอีกไม่นานเราอาจได้อ่านรายงานวิเคราะห์เชิงวิชาการของ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ซึ่งร่วมอยู่ใน ศอฉ. และรู้เรื่องวงในดี รายงานทั้งสามฉบับนี้จะทำให้สังคมได้รับรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุการณ์ปี 2552-2553 สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ส่วนใครถูกผิดนั้น กระบวนการยุติธรรมจะดำเนินการต่อไปและต้องไม่มีการหักดิบกฎหมายอีก