posttoday

จ้องจะย้ายผมอยู่ได้

08 กันยายน 2555

เรื่องนี้ไม่มีอะไรแอบแฝง แต่เป็นเพลงที่ชอบร้อง คือ เพลง "พี่มีแต่ให้" ส่วนใครจะไปคิดว่ามีวันนี้เพราะท่านทักษิณให้หรือมานั่งตำแหน่ง ผบช.น. เพราะท่านทักษิณ ก็แล้วแต่จะคิด

เรื่องนี้ไม่มีอะไรแอบแฝง แต่เป็นเพลงที่ชอบร้อง คือ เพลง "พี่มีแต่ให้" ส่วนใครจะไปคิดว่ามีวันนี้เพราะท่านทักษิณให้หรือมานั่งตำแหน่ง ผบช.น. เพราะท่านทักษิณ ก็แล้วแต่จะคิด

โดย...ทีมข่าวการเมือง

การเมือง...รังแกผม        

จ้องจะย้ายผมอยู่ได้

ห้องทำงานชั้น 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล คลาคล่ำไปด้วยนายตำรวจน้อยใหญ่ที่มารอรายงานความคืบหน้าคดีต่างๆ กับ "บิ๊กแจ๊ด"พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ที่วันนี้สวมใส่ชุดเครื่องแบบเต็มยศสีกากี
         
ลีลาของ "บิ๊กแจ๊ด" ที่พูดคุยกับนายตำรวจชั้นผู้น้อย เป็นท่าทีของ "พี่ชายใจดี" ที่กำลังสอนน้องด้วยความเอื้ออาทรและอบอุ่น และเมื่อถึงเวลานัดหมายกับโพสต์ทูเดย์ "บิ๊กแจ๊ด" ก็เดินออกมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง
         
คำถามแรกยิงตรงไม่อ้อมค้อม "มีวันนี้เพราะพี่ให้" หมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรใช่หรือไม่ บิ๊กแจ๊ด ตอบอย่างไม่ลังเลว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไรแอบแฝง แต่เป็นเพลงที่ชอบร้อง คือ เพลง "พี่มีแต่ให้" ส่วนใครจะไปคิดว่ามีวันนี้เพราะท่านทักษิณให้หรือมานั่งตำแหน่ง ผบช.น. เพราะท่านทักษิณ ก็แล้วแต่จะคิด แต่ให้ในที่นี้ผมยืนยันว่าให้คำอบรมสั่งสอนไม่มีอะไรแอบแฝงแน่นอน
         
ทีมงานจึงยิงคำถามสวนทันทีว่า แต่ในโลกของความจริง การรับราชการตำรวจจะมีโอกาสเติบใหญ่หรือไม่ การเมืองถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ
         
บิ๊กแจ๊ด...จากที่นั่งเอนหลังพูดคุยอย่างผ่อนคลายก็ถอนใจเล็กๆ ก่อนทอดแขนทั้งสองข้างวางบนโต๊ะสองมือประสานกันแน่นพร้อมกับยื่นมาด้านหน้า
         
แววตาที่อบอุ่นเปลี่ยนเป็นคุกรุ่นไปด้วยความครุ่นคิดก่อนจะเปิดอกแบบหมดเปลือกว่า ในชีวิตราชการตำรวจก็มีทั้งได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองให้มีความก้าวหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็เคยต้อง
         
ดักดานเพราะการเมืองเช่นกัน"สมัยผมเป็นผู้การ ปดส. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี) ขณะที่ปี 2549 ถึงคิวจะได้เป็นรองผู้บัญชาการเสียทีช่วงนั้นมีให้เลือกสองที่ คือ บช.ภ.1 และ บช.ภ.7 แต่เกิดการปฏิวัติจาก คมช. ผมถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุน  พ.ต.ท.ทักษิณ จึงถูกดองแช่เอาไว้ ขยับไม่ได้"
        
 "ผมทำงานมา ผลงานเป็นที่ประจักษ์ทั้งด้านสืบสวนปราบปราม แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจ้องจะย้ายผมอยู่ได้ทุกปีบ้างก็ว่าจะให้ไปเป็นจเรตำรวจบ้าง นี่คือเหตุของการเมืองที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย"
         
บิ๊กแจ๊ด เล่าด้วยความเจ็บปวดต่อว่า ในยุครัฐบาลชุดก่อนขณะที่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ก็แว่วมาจากผู้ใหญ่ในรัฐบาลว่าจะเอาออก ทั้งๆที่ งานใน บช.ภ.1 มีตลอดทั้งเรื่องยาเสพติด อาชญากรรม ก็ปราบหมด
        
"แต่โชคดีที่ยังมีผู้ใหญ่รักและเห็นค่าของเรา คือท่านบรรหาร ศิลปอาชา ที่ผมรู้จักตั้งแต่สมัยที่เป็นสารวัตร ที่ สภ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ไปพูดให้ผมและต่อสู้เพื่อความชอบธรรมให้ผม
         
โดยท่านบรรหารไม่ยอมให้ย้ายผม ทำให้ผมไม่โดนย้ายไปไหน สามารถทำงานได้ต่อ แต่ก็ไม่ได้เติบโต ผมนั่งแช่ไม่ได้ขึ้นผู้บัญชาการนานถึง5 ปี แต่ไม่เป็นไร สั่งให้ทำงานผมก็ทำงาน ไม่สนใจเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์อยู่แล้ว
         
"ที่ผ่านมาในชีวิตการทำงานของผม หากโดนย้ายผมก็ไม่สนใจ ย้ายก็ย้าย แต่ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน อีกทั้งขืนสู้อยู่ต่อก็ทำงานร่วมกันไม่ได้ มันลำบาก แต่บางครั้งในการโยกย้ายก็เกิดจากความจำเป็น ย้ายเพราะผู้ใหญ่ที่เคารพเป็นห่วงก็มีเช่นกัน
         
"อย่างกรณีปล้นปืนค่ายทหาร ที่จ.นราธิวาส เมื่อเดือนม.ค. 2547 ผมเป็น ผบก.จ.นราธิวาส ได้ 3 เดือน ในยุคนั้นท่านทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี หลังเกิดเหตุมีการเรียกเข้าไปสอบสวนถึงสาเหตุจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งฝ่ายจังหวัด ทหาร ตำรวจ พอถึงคิวผมอธิบาย ผมก็ไม่อยากจะพูดให้ชัดเจนเพราะกลัวว่าจะไปกระทบกับหน่วยงานอื่น
         
"เหตุการณ์นี้มันทะแม่ง มีกลิ่นที่น่าสงสัยและจะขอเรียนเป็นการส่วนตัวกับท่านนายกฯแต่กลับถูกอีกฝ่ายบังคับให้พูดต่อหน้านายกฯเมื่อผมพูดก็กลายเป็นว่าเกิดความไม่พอใจทั้งๆ ที่ผมได้อธิบายในที่เกิดเหตุตามประสบ การณ์ที่มีมา
         
"สุดท้ายท่านทักษิณเรียกผมเข้าไปพบและบอกให้ผมย้ายออกจากพื้นที่ไป ผมก็แย้งขอต่อรองอยู่ต่อ เพื่อช่วยเหลือลูกน้องอย่างน้อยขอให้ครบเทอม แต่ท่านทักษิณไม่ยอมและให้เหตุผลว่า
         
"เอ็งจะช้ำมากไปกว่านี้ เขาว่าเอ็งไปกดดันเขา" และท่านทักษิณยื่นมา2 ที่ให้ผมไป คือ  ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ จ.ตราด ผมก็คิดว่า ไหนๆ แล้วก็เอามันให้สุดลูกหูลูกตาไปเลยแล้วกัน จึงตัดสินใจลงไปอยู่ที่ จ.ตราด
        
 "แต่การย้ายผมครั้งนี้ ย้ายอย่างเร่งด่วนผมบอกเลยว่าเสียใจ มันเหมือนกับผมเป็นคนผิดเองทำให้ถูกย้าย ทหารถูกปล้นปืนแต่ผมถูกย้าย แต่อย่างที่บอกไม่เป็นไร ย้ายก็ย้าย" บิ๊กแจ๊ด ระบายความอัดอั้นที่สุมอยู่ในอก

จากนั้นบรรยากาศความตึงเครียดก็เริ่มคลี่คลาย หลัง "บิ๊กแจ๊ด" ได้ระเบิดออกมาชุดใหญ่ ก่อนจะเล่าให้ฟังต่อว่า ก่อนที่จะมานั่งตำแหน่ง ผบช.น. ซึ่งในช่วง 3 เดือนก่อนจะต้องมานั่งรักษาการ ก็ยังไม่รู้เรื่องถึงสาเหตุที่ต้องเข้ามานั่งเก้าอี้ใหญ่ในเมืองกรุง เพียงแต่ผู้ใหญ่สั่งมา ก็ต้องทำตาม และทราบแต่เพียงว่าสถานการณ์เมืองกรุงมีม็อบของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดล้อมรัฐสภาไว้       

จ้องจะย้ายผมอยู่ได้

ท่าน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ผบ.ตร. โทรศัพท์มาหาผม บอกว่า "เฮ้ยแจ๊ดเอ็งไปเป็น ผบช.น.นะ"ผมก็ถามกลับไปว่าเรื่องอะไรครับท่านแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบคล้อยหลังไม่กี่นาที คนที่ผมเคารพก็โทรมาอีกย้ำเช่นเดียวกับ ผบ.ตร. ว่า "แจ๊ดไปดูนครบาลนะ"ผมก็ถามกลับไปเหมือนกันว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไรครับท่านก็ได้แต่บอกว่าให้ไปทำงานเถอะ
         
แต่ก่อนมา บ.ชน. ผมก็โทรศัพท์ไปหา "นัย"(พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น.ในขณะนั้น)ถามและบอกตามประสาคนคุ้นเคยว่า "เฮ้ยนัยจะทำอะไรก็รีบทำ นายโทรมาหากูให้ไปนครบาลแล้ว" แต่สุดท้ายก็มารู้ภายหลังว่ามีการเซ็นคำสั่งกันไปแล้ว ผมจึงต้องมานั่ง ผบช.น.
         
ผบช.น. เล่าให้ฟังด้วยว่า ความสัมพันธ์ที่มีกับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและทำให้ในบางครั้งได้รับการดูแลจากฝ่ายการเมืองนั้น มีที่มาที่ไปนะไม่ใช่เพราะไปประจบสอพลอได้มา
         
บิ๊กแจ๊ด ย้อนความหลังให้ฟังว่า นักการเมืองใหญ่คนแรกที่ได้มีโอกาสใกล้ชิด คือ บรรหาร ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสารวัตรสภ.ดอนเจดีย์จ.สุพรรณบุรี ซึ่งขณะนั้นมีคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นมากในพื้นที่
         
"หลังผมเข้าไปรับตำแหน่งสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้มากมาย คดีอาชญากรรมที่รุนแรงต่างๆ ลดลงเป็นอย่างมาก จนท่านบรรหารขอพบ จากนั้นก็ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับท่านบรรหารเรื่อยมา"บิ๊กแจ๊ด ระบุ
         
"นักการเมืองอีกท่านหนึ่งที่ผมเคารพรักก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงรองนายกรัฐมนตรีขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ผมรับราชการอยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี มีอยู่วันหนึ่งผมได้รับรายงานว่า มีคนร้ายประมาณ 7 คน จับคนพิการไปเป็นตัวประกัน ขณะนั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ผมก็เข้าไปในที่เกิดเหตุทันที
         
บ้านที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ มีน้ำท่วมอยู่โดยรอบตำรวจต้องค่อยๆ ลอยคอเข้าโดยใช้เรือเป็นที่กำบัง ยื้อกันอยู่จนถึงเช้า ผมบุกเข้าจนประชิดหน้าต่าง ประจันหน้ากับหัวหน้าแก๊งฉายา โจ ด่านช้างจากนั้นจึงได้มีการเจรจากันก่อนที่คนร้ายจะยอมปล่อยตัวประกัน
         
แต่ภายหลัง โจกับพวกต่อสู้ขัดขืนขณะนำตัวกลับเข้าไปค้นหาอาวุธ และเป็นที่มาของการวิสามัญฆาตกรรม โจ ด่านช้าง กับพวก ซึ่งในวันนั้นหลังจากปิดคดี ก็ได้รับการติดต่อจาก ร.ต.อ.เฉลิม ให้ไปพบ และบอกว่าชื่นชมการทำงานของผม
         
สำหรับ นั้น บิ๊กแจ๊ด บอกว่าท่านเป็นตัวอย่างที่ดีของนักเรียนนายร้อยตำรวจ ที่มีความรู้ความสามารถก้าวไปทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมาได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีคำสอนดีๆมากมายให้นำไปปฏิบัติและยึดถือเป็นแบบอย่าง เช่น ต้องทำงานให้ประชาชนรัก แถมยังต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชารักและเคารพด้วยถึงจะเรียกว่าเป็นตำรวจที่ดี
        
 "แล้วผิดหรือ? ที่ผมจะเอารูปคนที่เคารพมาติดไว้ อย่างภาพที่ถ่ายคู่กับท่านทักษิณ ผมก็นำมาติดไว้ในห้องทำงาน เพื่อเตือนสติตัวเองให้นึกถึงคำสอนของท่าน ใครจะว่าอย่างไรผมไม่สนใจ และภาพที่ท่านทักษิณติดยศ พล.ต.ท.ให้ผมนั้น จะมีคนไปฟ้องร้องก็เชิญ ผมติดอยู่นอกราชอาณาจักรไทย ผมไม่สนใจอยู่แล้ว"บิ๊กแจ๊ด กล่าวอย่างหนักแน่น ก่อนจะให้สัมภาษณ์ในวันต่อมาว่าพร้อมลาออกจากผบช.น. หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตรงไปตรงมาแบบนี้แหละบิ๊กแจ๊ด...ตัวจริง
         
ยมทูต...ไม่ยอมให้ตาย
         
ตำรวจของ "บิ๊กแจ๊ด" บู๊ระห่ำมาตั้งแต่เป็นนายตำรวจหนุ่ม อย่ามาถามว่าวิสามัญไปแล้วกี่ศพ เพราะเยอะมากจนจำไม่ไหว ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เอาชีวิตของตัวเองไปใกล้ความตายแค่เศษของเสี้ยววินาที
         
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะเป็นสารวัตรใหญ่ สภ.ดอนเจดีย์จ.สุพรรณบุรี นำกำลังไปบุกจับคนร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งปิดประตูหน้าต่างมิดชิด
         
"วันนั้นวางแผนว่า ผมจะบุกขึ้นไปทางประตูหน้า ผมค่อยๆ ย่องขึ้นไป โดยหันปากกระบอกปืนเล็กไปข้างหน้า ส่วนลูกน้องอีกคนปีนขึ้นมาจากด้านข้าง จังหวะที่ผมกำลังจะก้าวขึ้นถึงบันไดขั้นสุดท้าย คนร้ายก็เปิดประตูพลั้ว...! ออกมา ยิงใส่ลูกน้องผมโดนที่ขา
         
จากนั้นคนร้ายก็หันปากกระบอกปืนมาที่ผมโดยส่วนตัวผมชอบใช้ปืนลูกโม่ เพราะจากประสบการณ์ทุกวินาทีคือชีวิต ปืนลูกโม่ข้อดีคือ ถ้าปืนขัดลำกล้องสามารถยิงนัดต่อไปได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาดึงรังเพลิงใหม่เหมือนปืนอัตโนมัติ และเป็นนิสัยส่วนตัวของผมที่จะใส่กระสุน 3 แบบสลับกันในลูกโม่ โดยผมใช้ขนาด .38 ก็จะมีทั้งหัวกระสุนแบบเจาะเกราะหัวระเบิด และแบบธรรมดา
         
ทันทีที่คนร้ายหันมาทางผม ผมก็เหนี่ยวไกปืนทันที ขณะที่คนร้ายก็ยิงใส่ผมเช่นกัน เสียงปืนที่ได้ยินดังแทบจะพร้อมกัน ผมรู้สึกได้เลยว่าในเสี้ยววินาทีนั้น ลูกกระสุนได้เฉียดหัวผมไปแค่ปลายเส้นผม ขณะที่คนร้ายล้มทั้งยืนเสียชีวิตทันที
         
ภายหลังมีการตรวจสอบวิถีกระสุนของคนร้ายโดยหน่วยพิสูจน์หลักฐาน จึงได้รู้ว่ากระสุนที่พุ่งเข้าใส่คนร้ายนั้นเป็นหัวระเบิด ทำให้คนร้ายกระเด็นไปข้างหลังทันที จนทำให้วิถีกระสุนของคนร้ายที่เล็งมาที่ผม เชิดขึ้นเลยถากหัวผมไป แต่หากจังหวะนั้นในรังเพลิงของลูกโม่ผมหมุนไปเป็นหัวกระสุนเจาะเกราะ หรือกระสุนแบบธรรมดา อานุภาพของแรงกระสุนคงไม่มากพอ และผมคงถูกกระสุนเจาะเข้ากลางหัวแน่นอน"
         
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่วิสามัญคนร้ายไปในช่วงชีวิตของมือปราบ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยอมรับว่า สะเทือนใจทุกครั้งที่ต้องทำ รู้สึกไม่สบายใจต้องไปทำบุญทำทานให้กับผู้เสียชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังรู้สึกดีขึ้นบ้างที่เราก็ต้องทำตามหน้าที่ อีกทั้งยังปกป้องลูกน้อง รวมถึงประชาชนให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นไป n
         
'จับผู้พันตึ๋งฆ่าผู้ว่าฯยโสธร'
        
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เกิดเอะใจกับความสงสัยในหลักฐานคดีฆาตกรรมนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ ผวจ.ยโสธร ที่คดีนั้นโด่งดังสะท้านเมือง ก่อนใช้ประสบการณ์ความรู้ด้านงานสืบสวน ตรวจสอบหลักฐานก่อนนำไปสู่การจับกุม พ.ต.เฉลิมชัยมัจฉากล่ำ หรือผู้พันตึ๋ง ผู้ต้องหาตัวจริงที่วางแผนและลงมือฆ่า ผวจ.ยโสธร คาโรงแรมกลางกรุงเทพฯ    

จ้องจะย้ายผมอยู่ได้

ขณะนั้นบิ๊กแจ๊ดนั่งตำแหน่งรองผู้บังคับการกองปราบปราม (รอง ผบก.ป.) เล่าถึงคดีดังกล่าวที่สืบจนรู้ว่าใครเป็นฆาตรกรว่าตอนเกิดคดีฆ่าผู้ว่าฯ ผมเพิ่งจัดการคดีฆ่านักอนุรักษ์ป่าที่ภูเก็ตเสร็จสิ้น กลับมาถึงกองปราบปราม ก็เพิ่งรู้ข่าวมีการฆาตกรรมก็เลยมีการพูดคุยกันในหมู่รอง ผบก.ป.ด้วยกัน
         
ทั้ง พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ทวี สอดส่อง และพล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ จริงๆ แล้วคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกองปราบปรามเลย เป็นความรับผิดชอบของ บช.น. แต่เมื่อได้เห็นภาพห้องที่เกิดเหตุ รวมถึงรอยเลือดต่างๆ ก็สงสัยจุดที่สำคัญ คือ รอยเลือดที่สาดกระเด็นติดตู้เสื้อผ้าภายในห้อง
         
"จุดนี้ผมเอะใจทันที เลือดมันกระจายเต็มห้องเลย แล้วคนฆ่าที่ลงมือเชือดคอมันไปล้างเลือดที่ไหน เพื่อนๆก็บอกว่ามันต้องล้างในห้องสิ จะไปล้างที่ไหนได้ ผมก็ไม่เคลียร์ คาใจก็เลยประสานไปยังท่านพรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์(ผบ.ตร.ในขณะนั้น) ขอตรวจห้องที่เกิดเหตุอีกครั้ง ท่านพรศักดิ์ยังด่ากลับมาเลยว่า จะบ้าไปตรวจอีกทำไม กองพิสูจน์หลักฐานของบช.น.ตรวจจนช้ำหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ผมก็บอกจุดที่สงสัยไป ขอตรวจจุดเดียวคือในห้องน้ำเท่านั้น เมื่อได้รับอนุญาตผมก็ลุยเลย พา พฐ.ไปหยอดน้ำยาตรวจคราบเลือดที่ท่อระบายน้ำในห้องน้ำ ปรากฏว่าไม่มี เท่านั้นแหละ เป็นเรื่อง"
         
จากนั้นรอง ผบก.ป.คำรณวิทย์ ก็สั่งให้หาคราบเลือดทุกห้องของชั้นที่เกิดเหตุทันที ทุกจุดของท่อระบายน้ำ อ่างอาบน้ำ เพราะเชื่อแน่ว่าเลือดเยอะขนาดนี้ คนฆ่าต้องไม่ออกไปทั้งที่ไม่ล้างเนื้อตัวเป็นแน่ สุดท้ายไปเจอคราบเลือดของผู้ว่าฯ ที่ห้องผู้พันตึ๋ง ซึ่งเปิดพักกับทีมงาน บิ๊กแจ๊ดไม่รอช้าสั่งการเอาขยะที่พบไปตรวจดีเอ็นเอให้ตรงกับเลือดผู้ว่าฯ ซ้ำอีกทีก่อนจะใช้หลักฐานดังกล่าวสาวไปถึงผู้พันตึ๋งและจับกุมได้ในที่สุด สร้างความกระจ่างปิดคดีที่สะเทือนขวัญคนทั่วประเทศได้สำเร็จ