posttoday

ดุษฏี ดับเครื่องชน แฉเบื้องหลังย้ายปิดปาก

07 กันยายน 2555

“ไม่ใช่จะมาอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แล้วล้มรัฐบาล มันไม่มีใครบริหารประเทศ อยากเตือนว่า ทำอย่างนี้มันไม่ได้ ไม่ไหวหยุดได้แล้ว ผมรู้ใครอยู่เบื้องหลัง “

“ไม่ใช่จะมาอยู่อฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แล้วล้มรัฐบาล มันไม่มีใครบริหารประเทศ อยากเตือนว่า ทำอย่างนี้มันไม่ได้ ไม่ไหวหยุดได้แล้ว ผมรู้ใครอยู่เบื้องหลัง “

โดย ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว    

ดุษฏี ดับเครื่องชน แฉเบื้องหลังย้ายปิดปาก

“ผมต้องขอขอบคุณท่านรัฐมนตรี ท่านได้เรียกไปพบที่บ้านพัก โดยขอให้ผมไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อไปประสานงานด้านยาเสพติดกับ ปปส. เพราะท่านเห็นว่าผมมีประสบการณ์  ที่ผ่านมาผมก็ทำงานตามนโยบายการปราบปรามคอร์รัปชั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
            
นั่นคือ บทสัมภาษณ์ของพ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ  เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)  ก่อนถูกโยกย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งดูแล้วเป็นคำให้สัมภาษณ์ในลักษณะข้าราชการให้เกียรติฝ่ายการเมือง หรือเป็นการพูดในลักษณะรักษามารยาทเท่านั้น 
           
เพราะคล้อยหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบโยกย้ายอย่างเป็นทางการ   ความลับที่ถูกเก็บงำก็เปิดเผย   ทั้งๆที่พ.ต.อ.ดุษฎี  กำลังไล่ล่าการทุจริตโดยเฉพาะคดีรถหรูเลี่ยงภาษีที่มีลูกสาว” เจ๊ ด.” เข้าไปเกี่ยวข้อง  หรือ คดี ทุจริตออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินภูเก็ต และคดีแบงก์รัฐปล่อยสินเชื่อให้บริษัทขายข้าวชื่อดัง  หรือการพบทุจริตการใช้งบระมาณ 1.2 แสนล้านบาทตามโครงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมในพื้นที่ภาคอีสาน 6 จังหวัด ซึ่งก็มีการโยงไปถึง” เจ๊ ด.” อีกจนได้
          
ประเด็นใดมีน้ำหนักที่ทำให้เลขาดุษฏีต้องถูกย้าย ไปเหยียบบาทาใครเข้าหรือไม่   พ.ต.อ.ดุษฎีได้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดกับโพสต์ทูเดย์ไว้ดังนี้

ขอทราบเบื้องหลังถูกโยกย้ายครั้งนี้
          
 ถ้าพูดกันตรงๆ รัฐบาลตั้งหลักไม่ถูก ที่ย้ายผมจากเรื่องบภัยพิบัติ แต่ความจริงเป็นเรื่องอื่น    เขากำลังทำเรื่องป้องกันน้ำท่วมพอดี  ท่านเฉลิม อยู่บำรุง เห็นแล้วว่าปล่อยไปไม่ได้  โดยเฉพาะท่านเฉลิมเกลียดพวกอยู่ด้วยกันมาทุจริต เขาเป็นคนไม่หูเบา เป็นคนตรงไปตรงมา เขาบอกผมเลยวันนี้( 7 ก.ย.)  มานั่งคุยกันแล้วจัดการมาให้หมดเลยว่าเป็นไงบ้าง  ไม่งั้นนะรัฐบาลจะอยู่ยาวได้อย่างไรถ้าทุจริต   ถ้าปีแรกแย่แล้วปีต่อไปน้ำท่วมเอาอีกมีทุจริตอีก ถ้าอยู่ 8 ปี คุณต้องจัดการพวกทุจริตออกไปให้หมดก่อน  อันนี้เป็นนโยบายที่แท้จริงเลยว่าให้ปปท.ลงตรวจสอบดำเนินการ ต่อไปจะไม่กล้าทำกัน
         
“แล้วโครงการที่ผมไปตรวจสอบ 6 จังหวัดภาคอีสาน สุ่มนะ สุ่มตรงไหนเจอตรงนั้น แล้วหลายคนพยายามพูดว่าปปท.ไปเดินดูหน้างาน ถ่ายภาพเสร็จปั๊บแล้วให้ข่าว เสียหายต่อรัฐบาล เหมือนจินตนาการไปเอง ป่าวเลย เราไปพร้อมทีโออาร์ เอาไปกางดูเลย เราขุดถนนกี่เมตร  บ่อลึกเท่าไหร่ เราขุดดูรางระบายน้ำ  ลึกก้นบ่อ ความกว้างปากบ่อเท่าไหร่  ไม่ตรงกับทีโออาร์เลย เนื้องานน้อยมาก แต่เงินเบิกเต็มได้ไง แสดงว่าทุจริต หน้าที่ปปท.จะกล่าวหาใคร ต้องกล่าวหาข้าราชการคุมงาน เป็นวิศวกรคุมงานได้ไง แล้วคนตรวจรับงานรับได้ไง “
           
ทำไมเราเลือกอีสาน เพราะสุ่มไป 20 โครงการ จังหวะละ 2 โครงการ 5 โครงการ  สุ่มตรงไหนพบทุจริตหมด เหมือนกับว่ารีบเร่งการเบิกจ่าย
              
พ.ต.อ.ดุษฏี ย้ำว่า วันนี้ ( 7 ก.ย.) จะเอาหลักฐานทั้งหมดไปนั่งแล้วพูดคุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม ว่าหลักฐานเป็นอย่างนี้ที่ผมเจอ แล้วต่อไปมีอะไรไปจัดการกันเลย  ซึ่งยังไม่รวมโครงการภัยแล้งในส่วน งบการจัดซื้อยายาฆ่าแมลง ป้องกันเพลี้ยกระโดด
       
“ ทั้งหมดไม่ใช่อยู่ดีๆเราอยากไปจับอะไร แต่กรรมาธิการส่งผ่านมาให้เรา เพราะรู้สึกอึดอัดมากเพราะงบประมาณพวกนี้ไม่ได้ผ่านกรรมาธิการงบประมาณ พอเงินเป็นงบกลางไปใช้เลย “
       
 แต่ละพื้นที่ตรวจทุจริตเป็นฐานเสียงคนในรัฐบาล มีข่าวว่าไม่ได้รายงานผู้ใหญ่
          
พื้นที่ลงไปตรวจ มีอุดรธานี  ขอนแก่น มหาสารคาม บึงกาฬ ก่อนไปพื้นที่ ผมบอกท่านรัฐมนตรีแล้ว  เมื่อผมกลับมา ผมก็บอกท่านว่าผมลงไปทำงานมาแล้ว  แต่ปรากฎว่า เท่าที่ท่านให้สัมภาษณ์ไปรายงานผู้ใหญ่ เหมือนกับว่าผมไม่เคยรายงาน ไม่รับรู้มาก่อน   เรานี่อยู่ตรงข้ามฝ่ายรัฐบาลเหรอ  แต่ใจจริงเราต้องการอยู่ฝ่ายรัฐบาล ว่า คุณต้องการให้งบประมาณไปถึงประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุด  เมื่อเราไปตรวจสอบ ถ้าเงินไม่ถึงต้องจัดการเจ้าหน้าที่สิ  แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ทำให้เห็นแล้วว่ามีการทุจริตตั้งแต่แรกมาตรวจสอบถึงเดือดร้อนกัน “
       
หลังเปลี่ยนตำแหน่ง เตรียมส่งไม้แต่ละคดีอย่างไร
        
คดีไหนที่ผมรู้สึกการเมืองก้าวก่ายมาก ผมจะประสานปปช.ดึงไปทำ  เมื่อมั่นใจ เมื่อไหร่ส่งกลับมาก็ได้  เป็นอำนาจปปช.ด้วย ตามกฎหมายระบุมีสิทธิดึงไปทำ ประการที่สองถ้าจะสู้กันอย่างนี้  บอกได้อย่างเดียวถ้าเกี่ยวข้องกับนักการเมืองคุณต้องสู้ให้ได้สิเพราะว่า  คุณอยู่สี่ปี คุณต้องบริหารประเทศให้ได้ถึง 16  ปี เพราะอะไร เพราะหนึ่งคดีอายุความ 15 ปี แล้วถ้าเลขาปปท.มาไม่ได้เรื่อง สื่อมวลชนช่วยกันตรวจสอบแล้วหล่ะ
         
ก่อนไปเป็นรองปลัดฯ คดีสำคัญโยงไปถึงนักการเมืองจะต้องเร่งทำให้จบไหม
           
กรณีปล่อยสินเชื่อบริษัทข้าว จบสำหรับผมไปแล้ว มีมติกรรมการส่งไปแล้ว กรณีการปล่อยสินเชื่อของแบงก์รัฐ 7.5  พันล้านบาท ผมก็ต้องบีบดีเอสไอส่งตามไปอีก ในส่วน 2 หมื่นกว่าล้านที่ธนาคารเอกชนปล่อยสินเชื่อ ดีเอสไอต้องส่งนะ เพราะอยู่ในมือดีเอสไอ เป็นเรื่องธนาคารเอกชน ดีเอสไอจะส่งไปไหมอีกสี่แบงก์   กรณีรถเลี่ยงภาษี ใกล้จบ อาทิตย์หน้าประสานอัยการได้คุยนอกรอบแล้ว แต่ถ้าเรื่องนี้มีปัญหามาก ผมอาจจะส่งให้ปปช.ไปทำ เพราะเรื่องรถมันเป็นรายได้ไม่ใช่รายได้ของรัฐแต่เป็นรายได้ของพรรค ใครมาบริหารประเทศก็ดึงตรงนี้คนกระทำผิดไม่กี่คน แต่เวลาได้เงินทุกคนเอาเข้าพรรค รัฐบาลที่ผ่านมาก็ทำ (พูดถึงรัฐบาลปี 51 )
        
กรณีที่ดินภูเก็ต ที่จบเอาเข้าคณะกรรมการก็ทำต่อไปอันไหนอยู่ระหว่างตรวจสอบ ก็เอาเข้าคณะอนุกรรมการ แต่ชุดที่ทำเรื่องที่ดินพูดตรงๆ รู้สึกหวั่นไหวจะขอตามมาช่วยราชการ  แล้วเราจะทำเรื่องนี้อีก ถ้าผมไม่มีอำนาจหน้าที่ ถ้าไม่มอบให้ผมจะต่อสู้ในลักษณะเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายต่อต้านทุจริต  ทำในนามประชาชน แล้วในที่สุดเราจะได้เครือข่ายข้าราชการที่ดีๆส่งให้เรา ร้องทุกข์มาให้เรา เราหยุดไม่ได้
            
“ ไม่มีปัญหา รองปลัดก็ไม่หยุด เพราะว่าผมไม่เคยเปลี่ยนอุดมกาณณ์ ผมสู้ อย่างกรณีข้าวเพรสซิเด้นท์ตั้งแต่ดีเอสไอเป็นผู้ตรวจก็ทำ มาเป็นเลขาปปท.ก็ทำต่อ”  
         
หวั่นใจเปลี่ยนเลขาปปท.จะนำไปสู่การเปลี่ยนสำนวน
              
เลขาใหม่เปลี่ยนสำนวนกล้าใหมหล่ะ    ผมพยายามสอนคนของผมเอง เวลาคนเข้าสู่อำนาจผู้บริหารมีวิธีการต่างๆ หนึ่งต้องถูกใจนักการเมือง สองสู้ด้วยผลงาน และมีข่าวด้วยในกระทรวงเหมือนมีการจ่ายใต้โต๊ะ  หึ่งมากในกระทรวงไปถามสื่อมวลชนดูสิ  คุณจะสู้แบบไหน ผมมายืนตรงนี้ได้ ผมหันไปข้างๆ ผมมองขึ้นข้างบน กูเป็นหลักคนเดียวแล้วห่ล่ะ กลายเป็นว่าเป็นภาระเรา มีลูกน้องอีกหลายคน ถ้าต้องดูตัวอย่างรุ่นพี่ ถ้าจะลงเรือลำเดี่ยวกันก็เข้าเครือข่าย  เราไปที่ไหนก็ได้ลูกน้อง ย้ายไปที่ไหนก็ได้ลูกน้อง  อีกสักสามสี่ปีผมจะแข็งแกร่งกว่านี้ เพราะว่าจะมีคนช่วยผม นอกจากผมคิดผิดเหลือคนเดียวไม่มีใครสู้กับผม
         
 เป็นไปได้ไหมจะมีการล้มคดี
          
ถ้าล้มคดี ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เวลาคนอยู่ในตำแหน่งแล้ว  สมมติอยู่ใน ปปท. จะทำงานแบบตำรวจได้ไง  คุณมีหน้าที่ปราบปรามทุจริตต้องมีมาตรฐานการทำงาน ซึ่งผมสร้างไว้แล้ว สมมติมาถึง   คดีทำมาเสร็จแล้ว  ล้มคดี จะไหวเหรอ อายสถาบัน อายหน่วยงานอีก  ถ้าเราแข็งอย่างนี้ คนที่มาเป็นรัฐมนตรีคนต่อไป คุณจะมาคุมผมต้องรู้ตัวแล้วหล่ะว่า คุณจะมาคุมผมคุณต้องมีศักยภาพขนาดไหน ถ้าคุณสั่งสุ่มสี่สุ่มห้าผมไม่ฟังหรอก
         
งบภัยพิบัติ ซึ่งผมอยู่ในทีมนี้อยู่ ทางท่านเฉลิมทนไม่ได้ที่เห็นการทุจริต เรื่องแรกรัฐบาลต้องการปราบปรามยาเสพติด ผมมารับทุจริต แต่อยู่ๆดีให้ไปประจำกระทรวง แล้วเอาคนไม่มีความรู้ความสามารถมาอยู่ เหมือนคุณเป็นโคช้ให้ผู้เล่นหลักไปพักก่อน แล้ว เอาผู้เล่นสำรองมาเล่น ตัวแข็งไปเล่นเกมปราบปรามยาเสพติด  ซึ่งโอเคตามนโยบาย  แต่นโยบายหลักปราบปรามทุจริตของรัฐบาลคืออะไร   จึงกำลังเขว เลยถูกกล่าวหาหลายเรื่องรักษาผลประโยชน์ตัวเอง ผมไปแตะเรื่องนั้นเรื่องนี้ไหม ในที่สุดกระทั่งมีเรื่องซื้อตำแหน่ง แล้วชี้แจงได้อย่างไร     อย่างกรณีพี่ประเวศ( พ.ต.อ.ประเวศ  มูลประมุข )ทำคดี91 ศพ  ฟ้องร้องผู้บริหารชุดเก่า มารับตำแหน่งเลขาป.ป.ท.เป็นโบนัส มันไม่สมเหตุสมผล  
              
“ไม่ใช่จะมาอยู่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาละ แล้วล้มรัฐบาลนะ มันไม่มีใครบริหารประเทศ อยากเตือนว่า ทำอย่างนี้มันไม่ได้ ไม่ไหว  หยุดได้แล้ว แล้วผมเองไม่ใช่ว่าหน่อมแน้ม เวลาทำกับเจ้าหน้าที่เสร็จแล้ว ผมทำลึกสิ ผมรู้ใครอยู่เบื้องหลัง “  พ.ต.อ.ดุษฏี กล่าวทิ้งท้าย