ผลสอบคูปองเบอร์5"ผลาญงบ-รูโหว่อื้อ"
ผลสอบคูปองเบอร์5พบการดำเนินโครงการยังไม่รัดกุม บางขั้นตอนไม่สามารถตรวจสอบได้
โดย....ทีมข่าวการเมือง
ขอบคุณภาพจาก www.chaoprayanews.com
หนึ่งในวิธีฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด นั่นคือ การผุดโครงการมหกรรมสินค้าเบอร์ 5 โดยกระทรวงพลังงาน (พพ.) จัดสรรคูปองราคา 2,000 บาทจ่ายครัวเรือนผู้ประสบภัยนำไปแลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่กลับกลายเป็นว่าได้สร้างปัญหาตามมามากมาย ทั้งการแจกคูปองไม่ทั่วถึง ปัญหาแลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ได้คุณภาพ พบคูปองถูกปลี่ยนมือให้กับผู้ไม่ประสบภัย อีกทั้งผู้ประกอบการบางรายสบช่องรับซื้อคูปอง กระทั่งประชาชนแสดงความไม่พอใจชุมนุมประท้วงขอคืนเป็นเงินสดบ้าง และต่อนายพิชัย นริพทพันธ์ ถูกปรับออกจากตำแหน่ง รมว.พลังงาน
ปัญหาคูปองแลกซื้อเครื่องไฟฟ้า ไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจพบว่า การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกกองทุนฯ และการตรวจสอบดังกล่าวมีผลให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกว่า 60 รายร้องเรียนกระทรวงพลังงานไม่สามารถนำไปขึ้นเงิน
ล่าสุดมีการนำปัญหาดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 21 ส.ค. เป็นวาระพิจารณาจรเรื่องที่ 6 ซึ่งนอกจากจะเห็นวิธีการแก้ปัญหาจากรัฐบาลแบบฉุกเฉินแล้ว ยังพบปมน่าสนใจจากการตรวจสอบของสตง.ด้วย โดยสรุปประเด็นไว้ดังนี้
ประเด็นที่ 1 การใช้จัดสรรเงินกองทุนฯไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ กรณีตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 25( 2 ) กำหนดว่า เพื่อเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนแก่เอกชนสำหรับการลงทุนและดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน หรือเพื่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน
จากการตรวจสอบของ สตง.เห็นว่า คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินให้ กระทรวงพลังงานซึ่งเป็นส่วนราชการเป็นหน่วยดำเนินโครงการ วิธีการดำเนินงานเป็นการแจกคูปองส่วนลดซื้อสินค้าประหยัดพลังงานแก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ 2,000 บาท จำนวน 1 ล้านครัวเรือน แต่ตามมาตรา 25(2)เป็นการจัดสรรเงินให้เอกชนสำหรับการลงทุนและดำเนินงานในการอนุรักษ์พลังงาน และตามวิธีการดำเนินงานมิใช่เป็นการลงทุนและดำเนินงานในการอนุรักษ์พลังงาน และตามมาตรา 3 อนุรักษ์พลังงาน หมายความว่า ผลิตและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด ซึ่งการดำเนินงานตามโครงการเป็นการนำเงินในรูปแบบคูปองส่วนลดไปแจก จึงไม่อาจถือว่าได้เป็นการจัดสรรเงินที่สอดคล้องหรือเป็นไปตามมาตรา 25(2)
สตง.ระบุด้วยว่า โครงการด้านอนุรักษ์พลังงาน หมายถึงโครงการทางด้านการผลิตและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด แต่การแจกคูปอง(เงินสด) เป็นส่วนลดซื้อสินค้าประหยัดพลังงาน ครัวเรือนละ 2,000 บาท จำนวน 1 ล้านครัวเรือน ผ่านทางมูลนิธิอนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย โดย พพ.ทำสัญญาให้มูลนิธิอนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินงานแทนทุกขั้นตอน ทั้งนี้ไม่ปรากฎ พพ.ได้ดำเนินการทางด้านการผลิตและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดโดยตรง จึงเป็นการจัดสรรเงินที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์
นอกจากนี้ตามเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินโครงการ ระบุไว้ชัดเจนว่าเหตุที่ต้องจัดทำโครงการเนื่องจากเกิดอทุกภัย จึงเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีเจตนาช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยเป็นสำคัญ มีใช่โครงการทางด้านการอนุรักษ์พลังงานหรือโครงการที่เกี่ยวกับการป้องกัน และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน
ประเด็นที่ 2 สตง.เห็นว่า การดำเนินโครงการยังไม่รัดกุม บางขั้นตอนไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากขอบเขตวิธีการดำเนินโครงการ ที่กำหนดไว้ในเอกสารของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบระมาณ 2555 ไม่ปรากฎวิธีการปฏิบัติงานที่ชัดเจน รัดกุม
ประเด็นที่ 3 สตง.เห็นว่า ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มไม่ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เนื่องจากการใช้คูปองสามารถเปลี่ยนมือได้ ส่งผลให้ผู้ที่ใช้คูปองส่วนหนึ่งมิได้เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างแท้จริง ทำให้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และการดำเนินโครงการ ไม่สามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของข้อมูลก่อนหลังการดำเนินโครงการได้ โดยเฉพาะปริมาณการใช้พลังงาน
จากการตรวจสอบดังกล่าวสตง.ยังได้แจ้งพพ. ชะลอการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนจากร้านค้าไว้ก่อนและพิจารณาทบทวนการจัดสรรเงินกองทุนตามโครงการดังกล่าว จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯอย่างเคร่งครัด สำหรับเงินที่เบิกจ่ายไปแล้ว ควรเสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในส่วนอื่นมาชดเชย
แม้จะมีข้อทักท้วงจากสตง.แต่ปรากฎว่า คณะกรรมการกองทุนฯได้มีการประชุมมีมติยืนยันความเห็นการจัดสรรเงินกองทุนฯถูกต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ พร้อมกับเสนอให้คณะกรรมการกฤษฏีกาวินิจฉัยอีกรอบ พร้อมกันนั้นได้เสนอครม.ให้พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินแก่ร้านค้าในเบื้องต้นก่อน เพื่อเยียวยาแก่ร้านค้าโดยเร็ว
ทั้งนี้หากสตง.มีความเห็นตามมานในภายหลังว่าไม่สามารถใช้เงินกองทุนฯได้ และได้ข้อยุติตามข้อโต้แย้งจากหน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย ขอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณส่วนอื่นมาคืนแก่กองทุนฯต่อไป