posttoday

ถวิลถล่มตั้ง"ภราดร"เด็กเส้น-ทำลายขวัญสมช.

28 มิถุนายน 2555

สัมภาษณ์พิเศษ "ถวิล เปลี่ยนศรี" อดีตเลขาฯสมช. หลังครม.โยก "พล.ท.ภราดร" นั่งรองเลขาฯสมช.

โดย...ปริญญา ชูเลขา

การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้โอนย้าย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร หรือ เสธ.แมว ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ มาเป็นรองเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แทน สมเกียรติ บุญชู รองเลขาธิการ สมช. ที่ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแทนนั้น ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักใน สมช.ถึงความไม่เหมาะสมในการโยกย้ายครั้งนี้

“ถวิล เปลี่ยนศรี” อดีตเลขาธิการ สมช. จึงได้อาสานำความอึดอัดของบรรดาลูกหม้อ สมช.มาตีแผ่ทันทีว่า การโยกย้ายครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายต่อวงราชการ โดยเฉพาะในแง่มุมด้านคุณธรรมจริยธรรม

ถวิล อธิบายว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 279 มาตรฐานการพิจารณา สรรหา กลั่นกรอง หรือแต่งตั้งบุคคลใด เข้าสู่ตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งการโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และการลงโทษบุคคลนั้น จะต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล

“แต่การย้ายครั้งนี้ในแง่มุมตามรัฐธรรมนูญถือว่าเสียหายอย่างมาก เพราะเป็นการทำลายระบบคุณธรรมจริยธรรมในระบบราชการ เนื่องจากสมเกียรติเป็นลูกหม้อของ สมช. ทำงานด้านความมั่นคงในรุ่นเดียวกับตัวผม ประมาณ 30 ปีมาแล้ว มีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างดี และมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงอื่นๆ ด้วย แต่ต้องถูกโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีงานทำ”

ถวิลถล่มตั้ง"ภราดร"เด็กเส้น-ทำลายขวัญสมช.

ถวิล กล่าวว่า เหตุผลที่นำมาเป็นข้ออ้างในการโอนย้าย พล.ท.ภราดร เข้ามา เพราะต้องการคืนความเป็นธรรมที่ถูกโยกย้ายไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แต่การคืนความเป็นธรรมให้กับ พล.ท.ภราดร จะต้องพิจารณาย้อนหลังไปถึงที่ไปและที่มาของ พล.ท.ภราดร ด้วย

ทั้งนี้ การเติบโตทางราชการ พล.ท.ภราดร อยู่ในสายทหารย่อมต้องเติบโตในสายทหารที่สะสมความรู้วิชาการมาตั้งแต่เริ่มเข้ารับราชการ แต่จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ เมื่อ พล.ท.ภราดร ไม่สามารถเติบโตในสายงานของตัวเองได้ จึงขอย้ายตัวเองด้วยการเปลี่ยนสถานะจากข้าราชการทหารมาเป็นข้าราชการพลเรือน ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความมั่นคง

ในสมัยรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” ได้อนุมัติให้ พล.ท.ภราดร โอนย้ายมาเป็นรองเลขาธิการ สมช. สมัยที่ พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เป็นเลขาธิการ สมช. เมื่อปี 2551 ทั้งที่ พล.ท.ภราดร ไม่มีประสบการณ์งานด้านความมั่นคงแต่อย่างใด ดังนั้นการจะให้ความเป็นธรรมแก่ พล.ท.ภราดร ต้องพิจารณาทั้งขามาและขากลับด้วย

“เป็นการขอย้ายข้ามหน่วยงานจากทหารมาเป็นข้าราชการพลเรือน ซึ่งโดยปกติไม่มีหน่วยงานใดปฏิบัติกัน และเห็นว่างานของฝ่ายข้าราชการพลเรือนควรให้ข้าราชการพลเรือนได้เติบโตอย่างเต็มในสายงานของตัวเอง” อดีตเลขาธิการสมช. ระบุ

ถวิล กล่าวว่า ในการโอนย้ายครั้งนั้นยอมรับว่า เป็นการกระทำที่ทำลายขวัญและกำลังใจข้าราชการ สมช.อย่างมาก เพราะเป็นการโอนย้ายตัดหน้าการเติบโตทางสายงานด้านความมั่นคงของลูกหม้อ สมช.แท้ๆ เช่นเดียวกัน สมเกียรติที่โดนโอนย้ายไปเป็นที่ปรึกษาในตอนนี้ ก็โดนตัดหน้าไม่ให้เติบโตขึ้นเป็นรองเลขาธิการ สมช.มาครั้งหนึ่งแล้ว ในสมัยที่ พล.ท.ภราดร เข้ามารับตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.

“ผมจำได้ดีสมัยที่ผมเป็นรองเลขา ธิการ สมช. และ พล.ท.ภราดร ย้ายข้ามห้วยมา ก็ไม่เห็นจะแสดงฝีมือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญงานด้านความมั่นคงใดๆเป็นเพียงแค่คนที่ตันในสายงานทหารของตัวเองแล้วขอโอนย้ายมาอยู่ในฝ่ายข้าราชการพลเรือนที่ สมช. พอเข้ามาแล้วก็ทำงานไม่ได้อีก แบบนี้จะถือว่าเป็นการคืนความเป็นธรรมได้อย่างไร” ถวิล กล่าว

อย่างไรก็ตาม เป็นที่หน้าสังเกตว่า พล.ท.ภราดร เป็นหลาน ปรีดา พัฒนถาบุตร อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญบุคคลท่านนี้มีบุญคุณกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้มีความพยายามในการวิ่งเต้นเพื่อให้ พล.ท.ภราดร กลับ สมช.หลายต่อหลายครั้ง

ขณะเดียวกันหากจำกันได้สมัยที่มีการแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี มาเป็นเลขาธิการ สมช. ในสมัยที่ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ทางผู้ใหญ่ในรัฐบาลต้องการให้มีการแต่งตั้ง พล.ท.ภราดร เป็นรองเลขาธิการ สมช. ไปในคราวเดียวกัน แต่ขณะนั้น พล.ต.อ.โกวิท ยับยั้งไว้ เพราะเห็นว่า การโอนย้ายแค่ พล.ต.อ.วิเชียร มาเป็นเลขาธิการ สมช. แล้วโยกถวิลไปเป็น|ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็สร้างความปั่นป่วนและบ่อนทำลายขวัญและกำลังในการทำงานของคน สมช.อยู่แล้ว จึงไม่ควรแต่งตั้ง พล.ท.ภราดร เข้ามาอีก ยิ่งเป็นการซ้ำเติมความวุ่นวายในระบบราชการ

“สิ่งหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.โกวิท โดนปรับออกจาก ครม. เพราะไม่สนองคำสั่งฝ่ายการเมืองที่ต้องการให้ พล.ท.ภราดร เข้ามาทาง พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่พอใจ เป็นเหตุให้ท่านโกวิทถูกปรับออกจาก ครม. แต่ก็ต้องยอมรับในสปิริตของท่านโกวิท ที่กล้า ไม่ทำตามคำขอฝ่ายการเมือง แต่เลือกทำใน|สิ่งที่ถูกต้อง” ถวิล กล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นฝ่ายการเมืองยังไม่ลดละความพยายามที่จะผลักดัน พล.ท.ภราดร โดยฝ่ายการเมืองพยายามให้ สมช.เพิ่มอัตราตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.ขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่ง เดิมมีอยู่ 3 ตำแหน่ง แต่ท้ายที่สุดไม่ประสบความสำเร็จ เพราะอัตรากำลังคนใน สมช.มีเพียง 200 คนเท่านั้น จึงกลายเป็นที่มาของมติ ครม.ให้ย้ายสมเกียรติออกไป

นอกจากนี้ เป้าหมายในการวางตัว พล.ท.ภราดร ไม่ใช่แค่ตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.เท่านั้น แต่ต้องการวางตัวให้เป็นเลขาธิการ สมช.ด้วยซ้ำ เพราะ พล.ท.ภราดร เหลืออายุราชการอย่างน้อย 3 ปี หากเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่ต้องกล่าวถึงบรรยากาศและความรู้สึกคน สมช.กว่า 200 ชีวิต จะคิดและรู้สึกอย่างไร เช่นเดียวกับในตอนที่โยกย้าย พล.ต.อ.วิเชียร เข้ามา ก็ทำให้คน สมช.เจ็บช้ำพอแล้ว

อดีตเลขาธิการ สมช. บอกอีกว่า บรรยากาศใน สมช.ตอนนี้ทุกคนล้วนรู้สึกอึดอัดว่า เหตุใดการเมืองเข้ามาก้าวก่ายฝ่ายข้าราชการประจำมากถึงขนาดนี้ แม้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติกว่า 200 คน แม้จะไม่พอใจแต่คงจะไปสู้รบปรบมือใดๆ ไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น คงจะต้องเก็บไว้ภายในใจเท่านั้น

“สิ่งที่อยากให้ฝ่ายการเมืองรับทราบ คือ การแต่งตั้งโยกย้ายต้องเป็นไปด้วยความรับผิดชอบอย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่ใครไม่ใช่พรรคพวกตัวเองก็จะถูกปฏิเสธ เพราะถึงอย่างไรการทำงานระหว่างฝ่ายข้าราชการประจำกับฝ่ายการเมืองย่อมหลีกเลี่ยงหรือหนีจากกันไม่ได้ เพราะต้องทำงานควบคู่กันในการ บริหารประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า” ถวิลกล่าวทิ้งท้าย