2 ปีแยกคอกวัว หัวใจแกร่งบนความวิปโยค
“หากนำเครื่องวัดความแกร่งหัวใจมาตรวจวัดจะพบคุณค่าหัวใจคนเหล่านี้ต่างกับกลุ่มบุคคลอีกจำนวนหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด”
“หากนำเครื่องวัดความแกร่งหัวใจมาตรวจวัดจะพบคุณค่าหัวใจคนเหล่านี้ต่างกับกลุ่มบุคคลอีกจำนวนหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด”
โดย..อสนีบาต
10 เม.ย. 2555 ไม่ใช่วันปกติตามหน้าปฏิทินไทย เพราะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ตอกย้ำให้เป็นวันรำลึกเหตุการณ์คืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณแยกคอกวัว จนเป็นเหตุให้มีผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องบาดเจ็บเสียชีวิต
ผ่านมาวันนี้ แกนนำนปช. ส่วนใหญ่ต่างได้ดิบได้ดีขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองประกาศให้มีการร่วมรำลึกเหตุการณ์ครบ 2 ปี เหมือนกับ 10 เม.ย. 54 ที่ประกาศรำลึกครบ 1 ปี ท่ามกลางความสับสนของมวลชนต่อจุดยืนแกนนำเหล่านี้ ยังทวงถามหาผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์ความสูญเสียต่อไปหรือไม่
เนื่องจากอีกหน้าหนึ่งของการเคลื่อนไหว แกนนำเหล่านี้กลับออกมาสนับสนุนแนวทางปรองดองตามข้อเสนอของรายงานสถาบันพระปกเกล้าที่กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางปรองดองแห่งชาติผ่านการพิจารณาของที่ประชุมสภาเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งก็พอเห็นความคืบหน้าเมื่อ พรรคเพื่อไทยต้องการเดินหน้า ออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ด้วยการให้เหตุผลนำไปสู่การคืนความเป็นธรรมให้ทุกฝ่ายไม่ใช่เฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งตัดตอนกระบวนการปรองดองด้วยการปฏิเสธเวทีสานเสวนาสร้างความเข้าใจ ด้วยเหตุผลสวยหรูในเมื่อผ่านความเห็นจากสภาก็ถือว่าผ่านความเห็นชอบจากส.ส.ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่จำเป็นต้องเสนอให้ประชาชนพิจารณาอีก
“ขยายความหมาย คือ เสียงส่วนใหญ่เลือกพรรคเพื่อไทยมาทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง มอบอำนาจให้เดินหน้าออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
เพราะฉนั้นกลุ่มคัดค้าน ไม่ว่าจะเป็นทีมงานวิจัยสถาบันพระปกเกล้า กลุ่มองค์กรประชาชน บรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ คือเสียงส่วนน้อย
แม้แต่มวลชนเสื้อแดงเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ได้รับบาดเจ็บ พิการ หลงเหลือญาติผู้เสียชีวิตออกมาเรียกร้องตามสิทธิที่พวกเขาพึงมี ให้ค้นหาข้อเท็จจริง ทวงถามความคืบหน้าคดี ต้องจำทนเปลี่ยนบทเล่นไปด้วยการปิดปากให้เงียบ ไม่หือไม่อือยอมรับเสียงส่วนใหญ่ตามที่พรรคเพื่อไทยกล่าวอ้าง
รวมไปถึงญาติของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ซึ่งแกนนำนปช. รวมถึงนักการเมืองเพื่อไทยไม่ค่อยพูดถึงให้ความสำคัญเท่าไหร่ในเวลานี้ ต้องถูกกวาดต้อนเข้าสู่ขบวนการปรองดอง ยอมรับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ด้วย
“ เป็นการส่งสัญญาณไปถึงทุกฝ่ายที่ยังคงพยายามทวงถามความยุติธรรมตามหาผู้กระทำผิดนำตัวมาลงโทษให้หยุดได้แล้ว!”
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ร่วมเหตุการณ์ ญาติผู้สูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลตัวอย่างตามที่เคยเปิดใจผ่านโพสต์ทูเดย์ อย่าง นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาพล.อ.ร่มเกล้า หรือ พะ เยาว์ อัคฮาด และ ณัทพัช อัคฮาด แม่และน้องชาย น.ส.กมนเกด ที่ถูกยิงเสียชีวิตวัดปทุมวนาราม พวกเขายังมีจุดยืนแน่วแน่ในการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย อาศัยทุกช่องทางกฎหมายที่เหลืออยู่เพื่อพิสูจน์ความจริง ใคร- ขบวนการไหน พรากคนในครอบครัวเขาไป แม้จะมีแรงกดดัน ทั้งบนดินและใต้ดิน หยิบยื่นตำแหน่งปิดปาก โทรศัพท์ข่มขู่สร้างความหวาดกลัวให้หยุดการกระทำ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่หวั่นเกรง คงเดินหน้าต่อไป เป็นการเดินหน้าพร้อมกับฝ่ายผู้มีอำนาจอ้างเสียงข้างมากเดินหน้าออกกฎหมายนิรโทษกรรม
คนหนึ่งทำหน้าที่ปกป้องสถาบัน อริราชศัตรูที่เป็นภัยมั่นคงต่อประเทศชาติ อีกคนหนึ่งทำหน้าที่จิตอาสาพยาบาลดูแลผู้บาดเจ็บ ทั้งสองล้วนมีเป้าหมายเดียวกันเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง จึงเกิดคำถามจากผู้ที่ยังอยู่แทงใจผู้มีอำนาจรัฐ “พวกเขาไม่ได้ทำความผิดอะไร เหตุใดต้องมานิรโทษกรรม เช่นเดียวกับประชาชนผู้บริสุทธิ์รายอื่นๆ ทั้งถูกชักจูงและสมัครใจมาก่อเหตุความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่โดนกระทำจากมือที่สาม หรือชุดดำก็ตามแต่ทำไมต้องมานิรโทษกรรมให้เขาด้วย”
อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ หรือแม้แต่บิ๊กทหาร ที่ล้วนถูกแกนนำนปช. นักการเมืองที่ครองอำนาจขณะนี้ ปลูกถ่ายความคิดให้ประชาชนว่าคณะเหล่านี้เป็น “ฆาตกร” แต่ ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฆาตกรก็ประกาศพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ขอหลบลี้ออกจากประเทศไทย จะถูกหรือผิดต้องพิสูจน์กันในชั้นศาล
หากนำเครื่องวัดความแกร่งหัวใจมาตรวจวัดจะพบคุณค่าหัวใจคนเหล่านี้ต่างกับกลุ่มบุคคลอีกจำนวนหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศบางคน ที่หนีคดีหลบออกนอกประเทศ ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้แต่รอถูกหวยจากการออกกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างเดียว
หรือกรณีของ จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำนปช.และส.ส.เพื่อไทย ที่ถึงขั้นประกาศกลางสภา” จะไม่ปรองดองกับฆาตกร” ตามคำพูดนี้อาจทำให้มวลชนที่สับสนเกิดความเข้าใจได้ว่า ยังหลงเหลือผู้มีเป้าหมายเดียวกับมวลชนในการทวงถามความรับผิดชอบ ต้องการค้นหาความจริง หาคนผิดมาลงโทษ แสดงว่า ไม่เอานิรโทษกรรมทางการเมืองแน่นอน
แต่ทว่า เมื่อคณะเพื่อไทยประสานเสียงเดินหน้าผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมเต็มที่ เหตุใดเล่า จตุพร ถึงไม่ประกาศจุดยืนตัวเองไปเลยไม่ขอสังฆกรรมพรรคเพื่อไทยและควรใช้ความถนัดทางปากของตัวเองสาบส่งคนที่เหยียบย่ำศพหลงลืมสัญญาจะเอาคนผิดมาลงโทษด้วยซ้ำ
หรือสิ่งที่พูดกลางสภาเป็นแค่การแสดงเลี้ยงกระแสมวลชนไว้พิงหลังเท่านั้นเอง
บทบาทการแสดงความกล้าหาญของบรรดานักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ในการทวงถามหาความถูกต้องให้กับผู้สูญเสียหายไปไหนกันหมด
2ปีครบรอบวันขอคืนพื้นที่ จึงไม่ใช่วันโหนกระแสรำลึก แต่เป็นวันเชิดชูญาติเหยื่อ เจ้าหน้าที่รัฐผู้สูญเสีย รวมถึงผู้ยืนหยัดยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมในการแสวงหาความปรองดองที่แท้จริง
แม้พวกเขาเป็นเสียงส่วนน้อยแต่สำหรับหัวใจคนเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแกร่งและยิ่งใหญ่กว่าพวกหลบใต้ชายกระโปรงอ้างเสียงข้างมากหาประโยชน์บนความวิปโยคนี้ หลายเท่านัก